“อยู่ให้รัก จากลาให้คิดถึง” เหตุใด โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ถึงกลายเป็นนักเตะที่เดอะค็อปรักสุดหัวใจ?

30 มิถุนายน 2566 - 08:51

Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Thumbnail
  • หลังร่วมผจญภัยกับยอดทีมแห่งลุ่มแม่น้ำเมอซี่ไซต์มาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ พาลิเวอร์เบิร์ดบินสูงประกาศศักดาครองโลกลูกหนังอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก ในที่สุด “โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่” ก็ได้ตัดสินใจประกาศอำลาทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2022/2023 ที่ผ่านมา และกำลังจะหมดสัญญาอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิ.ย หรือก็คือวันนี้

  • ดังนั้นเราจึงอยากขอย้อนรอยบันทึกความทรงจำอันสวยงามบนถิ่นแอนฟิลด์ ของชายผู้เป็นที่รักที่สุดคนหนึ่งของบรรดาเดอะค็อป ก่อนที่ บ๊อบบี้ จะต้องลงสนามในสีเสื้อตัวใหม่ที่ไม่คุ้นตา

  • นี่คือเรื่องราวของ ชายที่ไม่ได้ถูกยกย่องเยี่ยง “ราชา” แบบ “คิงเคนนี่” หรือ “คิงโม” ไม่ได้ถูกศรัทธาดุจ “พระเจ้า” แบบฟาวเลอร์ แต่มีฉายาเรียบง่ายว่า “บ๊อบบี้” ที่ทุกคนหลงรักสุดหัวใจ

มนตร์สะกดแซมบา 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่นักบอลคนหนึ่งจะถูกแฟนๆ หลงรัก นั่นคือคุณต้องเป็นนักเตะมีทักษะฝีเท้าที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยม เพราะยิ่งคุณเป็นนักเตะที่ฝีเท้าดีเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่คุณจะสร้างความสุขให้แฟนบอลได้บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าบ๊อบบี้ เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยผลงาน 111 ประตู กับอีก 72 แอสซิสต์ ตลอดการค้าแข้งกับลิเวอร์พูล ด้วยเทคนิค วิธีการเล่น มันสมอง และเหนือสิ่งอื่นใด ลีลาการเล่นฟุตบอลแบบฉบับแซมบาอันน่าตื่นเต้นที่ยากจะหาใครเทียบ การเล่นบอลด้วยส้นเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ ทำประตูด้วยท่าทางมหัศจรรย์ แถมยังการันตีด้วยสถิตินักฟุตบอลบราซิลที่ทำประตูและแอสซิสต์มากที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4QUsmGL4WE1uk5fP8cFmw1/0f0c47a48bb0285b25b126d2990baeee/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo01
ฟีร์มีโน ฉายแววเก่งตั้งแต่เด็ก โดยโค้ชเยาวชนได้กล่าวถึงการทดสอบฝีเท้าครั้งแรกของบ๊อบบี้ไว้ว่า

เขาลงมาเล่นบนสนามหญ้าแค่ 3 จังหวะ ผมก็หันไปบอกทีมงานว่าเตรียมเอกสารของเด็กคนนี้ไว้ได้เลย

จาก 3 จังหวะในวันนั้น ทำให้ฟีร์มีโนได้สังกัดที่ศูนย์ฝึก CRB ก่อนจะไปเตะตาทีมเก่าแก่ของบราซิลอย่าง ฟิเกอเรนซ์ ที่มอบโอกาสให้เขาสัมผัสฟุตบอลระดับอาชีพครั้งแรก และเขาก็ตอบแทนด้วยประตูเป็นกอบเป็นกำ ช่วยทีมเลื่อนชั้นขึ้นลีกสูงสุดของบราซิล พร้อมตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยม จนยุโรปเรียกหาไต่เต้ามาสู่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ใน บุนเดสลีกา เยอรมัน ที่เขาใช้เวลาบนลีกเมืองเบียร์กว่า 5 ปี ร่ายมนต์บนพื้นหญ้าจนกลายเป็นตัวรุกดาวรุ่งที่เนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งของฟุตบอลยุโรป
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5nPgcDpyg8lPPLRY8AHKNC/2503f204f9ba091c881e1ece93d3a823/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo02
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่กราฟของ บ๊อบบี้ กำลังพุ่งแรงแซงทางโค้ง ลิเวอร์พูลในการคุมทีมของ แบรนดอน รอดเจอร์ ก็กำลังค่อยๆ ตกลง หลังจากพลาดแชมป์ลีก และเสียผู้เล่นคนสำคัญอย่าง หลุยส์ ซัวเรส แนวรุกที่เติมมาก็ไม่มีใครทดแทนได้ ทำให้หงส์แดงต้องดิ้นรนในตลาดซื้อขายเพื่อยกระดับเกมรุกของทีม นั่นทำให้เส้นทางของบ๊อบบี้กับลิเวอร์พูลมาบรรจบกันในที่สุด  
 
ซัมเมอร์ปี 2015 ฟีร์มีโน ย้ายมาจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ มาร่วมทีมลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์  เพื่อหวังว่าจะมาจับคู่กับศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คริสติยอง เบนเตเก้ แต่ด้วยสถานการณ์ทีมและขุมกำลังในตอนนั้น ผลงานทีมกลับไม่กระเตื้องขึ้นแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวรุกบราซิลคนใหม่ที่ทำประตูไม่ได้เลย สื่อบางสำนักเริ่มโจมตี ความกดดันจากทุกทิศทางเริ่มถาโถม จนในที่สุดกุนซืออย่าง บี-ร็อด ก็ถูกเด้งออกจากตำแหน่ง อะไรๆ ทำท่าจะแย่ลงสำหรับ ลิเวอร์พูล และ ฟีร์มีโน หรือนี่คือการซื้อที่ล้มเหลวอีกครั้ง ? 

แต่หลังจากการมาถึงของชายที่ชื่อ “เยอร์เก้น คล็อปป์” ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4kLa3iD9yTS4yJvz6AKkVb/99e8eeb5dfea440c64c7d36bc581dc44/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo03
“ผมเห็นเขาตั้งแต่สมัยที่อยู่กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ แต่ดอร์ทมุนต์ไม่มีกำลังมากพอที่จะคว้าตัวเขามาได้” คล็อปป์กล่าวถึงความสนใจในตัวฟีร์มีโน่ที่มีมายาวนาน นอกจากนี้กัปตันลิเวอร์พูลอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ได้ออกมากล่าวเสริมถึงความหลงไหลของนายใหญ่ชาวเยอรมันที่มีต่อตัว โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เพราะประโยคแรกที่ คล็อปป์เข้ามากล่าวถึงนักเตะที่ยังไม่ได้โชว์ฟอร์มอะไรมากนักในตอนนั้นคือ

พวกคุณไม่รู้หรือไง ว่าชายคนนี้เก่งขนาดไหน

ภายใต้การคุมทีมของคล็อปป์ โรแบร์โต ฟีร์มีโน ก็ได้ฉายแสงแบบเต็มๆ โดยเฉพาะในเกมที่ลิเวอร์พูลต้องออกไปเยือน เอติฮัด สเตเดียม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อริผู้ยิ่งใหญ่ เขามีส่วนร่วมกับแทบทุกประตูในเกมนั้น ด้วยลีลาการเล่น และที่สำคัญ การเล่นเป็นกองหน้าแต่เล่นเกมรับวิ่งปั่นปวนกองหลังคู่ต่อสู้ ที่กลายมาเป็นเทรดมาร์กของลิเวอร์พูลจวบจนยุคปัจจุบัน  
 
เกมนั้นบ๊อบบี้ บีบให้กองหลังเรือใบสีฟ้าทำเข้าประตูตัวเอง ก่อนแอสซิสต์ให้ คูตินโญ่ และทำประตูแรกบนสีเสื้อหงส์แดงได้สำเร็จ ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 4-1 จบเกมวันนั้นเดอะค็อปทุกคนถูกจุดประกายด้วยความหวัง การเอาชนะ แมนซิตี้ แบบถล่มทลายที่บ้านของพวกเขา ด้วยสไตล์การเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ นักเตะที่ชื่อว่า โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน

นี่คือเกมแรกที่เราประกาศว่าเกมรุกในแบบของเราคืออะไร

นี่คือประโยคของคล็อปป์ถึงเกมดังกล่าว และหลังจากเกมนั้น ภาพเกมบุกของลิเวอร์พูลก็ชัดแจ้งขึ้นเรื่อยๆ เราได้เห็นการปรับบทบาทของโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ไปสู่ตำแหน่งที่เรียกกันว่า “ฟอลส์ไนน์” หรือกองหน้าตัวหลอก ด้วยทักษะและความคิดสร้างสรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ จึงพูดได้เต็มปากว่า ฟีร์มีโน คือหัวใจของเกมฟุตบอลของ เยอร์เกน คล็อปป์  
 
“บ๊อบบี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิดเกี่ยวกับการเล่นของเรา เขาคือศูนย์กลางของทุกสิ่ง หากคุณเข้ามาเห็นผมในการวางแผนแล้วละก็ มันก็จะมีแต่คำว่า บ๊อบบี้ตรงนู้น และบ๊อบบี้ที่ตรงนั้น ซึ่งทั้งหมดมันเกิดจากเพียงแค่ทักษะที่เข้ามีตามธรรมชาติล้วนๆ เลย” 
 
ลิเวอร์พูลบินสูงขึ้นเรื่อยๆ ฟีร์มีโน เองก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เขาค่อยๆ เอาชนะใจเดอะค็อปทีละน้อยๆ จนรู้ตัวอีกที บางสิ่งบางอย่างก็ถือกำเนิดขึ้น

Si Señor  Pass the ball to Bobby and he'll score

นี่คือท่อนคุ้นเคยของเสียงเพลงเชียร์อันที่ดังกระหึ่มทุกครั้งที่ทีมลิเวอร์พูลลงทำการแข่งขันในยุคหลัง แม้ว่าเจ้าของบทเพลงจะได้ลงสนามหรือไม่ก็ตาม โดย “Si Señor” มีทำนองดั้งเดิมมาจากเพลงเชียร์ของแฟนบอลสโมสร ริเวอร์ เพลท ในอาร์เจนติน่าก่อนจะถูกเดอะค็อปดัดแปลงเนื้อร้องเพื่ออุทิศให้ชายที่ชื่อ โรแบร์โต ฟีร์มีโน และมันก็กลายเป็นเพลงเชียร์เฉพาะตัวนักเตะที่ถูกร้องบ่อยกว่าใครเพื่อน  
 
เรียได้ว่าหากอยากรู้ว่านักฟุตบอลที่ชื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน มีสถานะใดในหัวใจของเดอะค็อปทุกคน ก็วัดได้จากเดซิเบลเวลาพวกเขาเปล่งเสียงร้องเพลง “Si Señor” ได้เลย
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3pJd5IkvGTlM2X8sd0SGO7/40a48089a03a81ae0ac03d63892fd117/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo04
Photo: Andrew Powell/Liverpool FC via Getty Images
 ซึ่ง โรแบร์โต ฟีร์มีโน เองก็เคยได้กล่าวถึงเพลงเชียร์ของเจ้าตัวไว้หลายครั้งว่า 
 
“มันสุดยอดมากๆ ผมรักที่จะได้ยินแฟนๆ เรียกชื่อ บ๊อบบี้ ฟีร์มีโน่ ในสนาม มันตื่นเต้นสุดๆ เวลาแฟนบอลตะโกนชื่อของคุณ ร้องเพลงเพื่อคุณ” 
 
“แถมจังหวะของเพลง ที่มีกลิ่นอายความเป็นละติน ก็สร้างแรงขับเคลื่อนได้ดีสุดๆ” 
 
“สำหรับนักฟุตบอลแบบเรา เวลาลงสนามแล้วได้ยินเสียงแฟนเพลงร้องเพลงที่มีชื่อตัวเองดังก้อง มันขับเคลื่อนให้เราใส่ทุกอย่างที่มีลงไปในสนาม เพื่อทีมของเรา เพื่อแฟนบอลของเรา” 

เปล่ง “ประกาย” สไตล์ “บ๊อบบี้”  

จากวันนั้นจนวันนี้เราได้เห็นบ๊อบบี้ร่ายมนตร์ลงบนพื้นหญ้าร่วมกับนักเตะแนวรุกลิเวอร์พูลมากมายตั้งแต่ “FAB FOUR” จนมาถึง “SMF” หรือสามประสาน ซาล่าห์ มาเน่ ฟีร์มีโน่ ที่นับว่าเป็นแนวรุกที่อันตรายที่สุดชุดหนึ่งในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ พาลิเวอร์พูลกวาดครบทุกแชมป์ ซึ่งนอกจากเวทย์มนตร์ที่เกิดจากฝีเท้าของเขาแล้วนั้น ทัศนคติอันยอดเยี่ยมของ บ๊อบบี้ ที่มีต่อเกมฟุตบอลก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างลงตัว 
 
เพราะนิยามของนักเตะรายนี้คือ ศูนย์หน้าที่ไร้ความเห็นแก่ตัวที่สุดเกมฟุตบอลเคยมีมา ฟีร์มีโนเปล่งประกายดั่งอัญมณีเวลาอยู่ในสนาม เขาทำให้ทุกคนตื่นเต้นไปกับลีลาเฉพาะตัวของเขา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็พร้อมที่จะส่งความเปล่งประกายนั้นต่อให้เพื่อนๆ เจิดจรัสกว่าตนเอง คอยทำเกมให้ตัวรุกอย่าง มาเน่ ซาล่าห์ หรือไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเขา  
 
“เขาเสียสละเพื่อทีมอยู่เสมอ สำหรับเขา ตัวเลขผลงานส่วนตัวบนสกอร์บอร์ด ไม่ได้สำคัญเท่ากับความสุขที่เกิดขึ้นในสนาม” 
 
นี่คือประโยคจาก “คิงโม” ซาล่าห์ ที่พูดถึงทัศนคติเวลาบ๊อบบี้ลงสนาม ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสไตล์การเล่นอันเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของทีม และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ก็ได้กล่าวสรุปถึงความสำคัญของฟีร์มีโน่ไว้อย่างครอบคลุม

เขาเปรียบเสมือนกาวที่เชื่อมต่อทุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ใช้แค่เพียงสามกองหน้าเท่านั้น แต่เป็นทั้งทีม

 

ทั้งการมอบหมายเลข 11 ให้ซาล่าห์ หรือเหตุการณ์ที่แฟนหงส์หลายคนคงจำได้ดี คือปฏิเสธการทำประตูด้วยการแตะบอลง่ายๆ หน้าประตู ทั้งๆ ที่มันเป็นประตูโบนัสที่ ฟีร์มีโน ยิงเข้าไปจะทำให้เจ้าตัวได้รับเงินกินเปล่าถึง 45,000 ปอนด์ หรือกว่า 2 ล้านบาท ตามสัญญา แถมในตอนนั้นเจ้าตัวยังรับเงินอยู่แค่ราวๆ 68,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์เท่านั้น แต่ก็เลือกที่จะให้มันกับ ซาดิโอ มาเน่ ที่ควรได้เครดิตมากกว่า เหตุการณ์ง่ายๆ แบบนี้แหละที่สรุปทัศนคติของเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันเคลือบอยู่ในทุกการคิด ทุกจังหวะที่เขาสัมผัสบอลในสนาม และมันทำให้ทีมเป็นปึกแผ่นมากขึ้น ทุกคนในทีมรักที่จะได้เล่นกับฟีร์มีโน่ เห็นได้จากการที่หากฟีร์มีโน่ ยิงประตูได้เมื่อใด เราก็จะเห็นนักเตะทุกคนวิ่งยิ้มร่ามาเฮกับเขาไม่ว่าประตูนั้นจะสำคัญขนาดไหน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/vh15dsOkMrr7PScrWQ5My/f283171103bd8424050ca67da9e0906e/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo05
หากจะมีสิ่งเดียวที่ฟีร์มีโน ไม่ยอมให้ใครมาเจิดจรัสกว่าเขาได้ ก็คงเป็นเพียงรอยยิ้มโชว์ฟันขาวเกินเบอร์ของเจ้าตัวที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ ข่าวว่าหมอฟันของเขาถึงกับต้องสั่งทำเฉดสีขาวพิเศษเพราะสีที่บ๊อบบี้ต้องการนั้นขาวเกินกว่าที่มีในสต็อค ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าเขาคือนักเตะที่ยิ้มบ่อยมาก ดังนั้นการยิ้มของเขาต้องออกมาเพอเฟ็คที่สุด ซึ่งมันเกิดจากการที่บ๊อบบี้มีความสุขทุกครั้งที่ได้ลงเล่นต่อหน้าแฟนบอล ไม่ว่าใครจะทำประตู หรือเขาจะอยู่ตรงไหนในสนาม เรามักจะได้เห็นเขายิ้มร่ามีความสุขไปกับแฟนบอลเสมอ ลีลาอันน่าตื่นตาตื่นใจของเขาก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการยิงประตูแบบไม่มองอันเลื่องชื่อ ท่าดีใจแหวกๆ ที่ขนมาไม่ซ้ำท่าในแต่ละนัด เรียกได้ว่าทำได้ทุกอย่าง หากแฟนบอลมีความสุข บ๊อบบี้ ก็มีความสุข นั่นแหละคือการเล่นฟุตบอลแบบฟีร์มีโน่ 
 
นอกจากนี้อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้นักเตะบางคนเข้าไปอยู่ในหัวใจของแฟนบอล นั่นคือการเป็นผู้เล่นประเภทที่มักโผล่มาทำประตูช่วยทีมในจังหวะสำคัญๆ อยู่เสมอ และฟีร์มีโน่ ก็มีคุณสมบัตินั้นอยู่ในตัวเช่นกัน ยิ่งเฉพาะในช่วงฟอร์มที่เจ้าตัวพีคๆ ถ้าจะให้ไล่เกมที่เจ้าตัวลงมายิงแล้วทีมได้รับชัยชนะหรือลงมาพลิกสถานการณ์ ก็เรียกได้ว่าไล่กันไม่หมด  
 
แม้แต่ในช่วงที่เจ้าตัวสภาพร่างกายตกลงไปจากเดิมมากอย่างในปีนี้ ที่ลิเวอร์พูลสถานการณ์ย่ำแย่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นัดที่ 37 ของพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลเปิดบ้านพบกับคู่แข่งที่กำลังฟอร์มแรงอย่าง แอสตัน วิลล่า ในขณะที่ลิเวอร์พูลกำลังตามหลังอยู่ 0-1 พร้อมความหวังท็อปโฟร์ที่ดับมอดลงไป นาทีที่ 89 ของการแข่งขัน ซาล่าห์ ได้บอลบริเวณฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ แต่ในขณะที่กำลังจะตัดเข้าซ้ายตามที่ถนัด แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนในกรอบเขตโทษ คิงโม ตัดสินใจตวัดบอลไซร้ก้อยเข้าจุดนัดพบทันที และก็เป็นตัวสำรองที่ชื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน กระโดดชาร์จบอลในท่าทางแบบที่มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำได้ ส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่าย ต่อชีวิตให้ลิเวอร์พูลยังคงมีหวังพื้นที่ยุโรปต่อไปในนัดสุดท้ายได้สำเร็จ  
 
เสียงเพลง Si Señor ที่ดังมาตลอดในช่วงหลัง กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มันดังราวกับแอนฟิลด์จะถล่มลงมา เหตุการณ์ทุกอย่างมันคือภาพเดิมที่เคยเกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งตลอด 8 ปี ฟีร์มีโน่ ยิงช่วยทีมอีกครั้งในเวลาสำคัญ แฟนบอลเปล่งเสียงร้องเพลงเพื่อเขาเช่นเคย ต่างก็แต่เพียงคราวนี้ บ๊อบบี้ ไม่ได้มีรอยยิ้มเหมือนเคย ไม่ได้ดีใจสนุกสนานเหมือนเคย แต่เขากลับร้องไห้ออกมา เพราะรู้ว่านี่มันคือโมเมนต์สุดท้ายของเขาบนสนามแอนฟิลด์แห่งนี้ในฐานะนักเตะลิเวอร์พูล
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1EL9VP82iPwPs8BqPzAB2t/b3f3eced503c554d785250c4ac96bdd7/Firmino-Bobby-Memory-SPACEBAR-Photo06
เสียงเพลง Si Señor ดังก้องตลอดเวลาที่สนามแอนฟิลด์ในวันนั้น ราวกับเดอะค็อปทุกคนจะบอกลาศูนย์หน้าอันเป็นที่รักของพวกเขา ด้วยการกู่ร้องให้ทั้งโลกรับรู้ว่า

There’s something that the Kop want you to know, The best in the world his name is Bobby Firmino

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์