เปิดฉากฟาดแข้งกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับมหกรรมการแข่งขันศึกลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ‘World Cup Qatar 2022’ ที่ในที่สุดคนไทยหัวใจรักฟุตบอลก็ได้ชมการถ่ายทอดสดครบทั้ง 64 แมตช์เสียที แต่อย่างไรก็ดีต้องบอกว่า ช่วงเวลาที่คำถาม “คนไทยจะได้ดูบอลโลกหรือไม่” เกิดขึ้นแล้วยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ทำเอาคนที่รักฟุตบอลหลายคนถึงกับหัวเสียไปตาม ๆ กัน และหลายคนก็เจ็บปวดมาก กับความรู้สึกที่ว่าการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้กำลังถูกเหยียบย่ำ!
แต่คนเราจะคลั่งไคล้ฟุตบอลได้ถึงขั้นเจ็บปวดเชียวหรือ? ตอบเลยว่า มี! บทสัมภาษณ์นี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับคนที่มีสายเลือดเป็นลูกฟุตบอลอย่าง ‘คุณบี สยามพงษ์ ผลมาก’ เจ้าของนามปากกา บี แหลมสิงห์ ปัจจุบันเป็นรักษาการหัวหน้าข่าวกีฬา หนังสือพิมพ์แนวหน้า นักจัดรายการวิทยุ FM90.5 FM99 ผู้บรรยายฟุตบอลทาง PPTV HD ช่อง 36 และ 3BB Sports One ช่อง 401 เขานี่แหละคือคนที่รักฟุตบอลมาก ขนาดที่ “ให้ฟุตบอลนำทางชีวิต”
แต่คนเราจะคลั่งไคล้ฟุตบอลได้ถึงขั้นเจ็บปวดเชียวหรือ? ตอบเลยว่า มี! บทสัมภาษณ์นี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับคนที่มีสายเลือดเป็นลูกฟุตบอลอย่าง ‘คุณบี สยามพงษ์ ผลมาก’ เจ้าของนามปากกา บี แหลมสิงห์ ปัจจุบันเป็นรักษาการหัวหน้าข่าวกีฬา หนังสือพิมพ์แนวหน้า นักจัดรายการวิทยุ FM90.5 FM99 ผู้บรรยายฟุตบอลทาง PPTV HD ช่อง 36 และ 3BB Sports One ช่อง 401 เขานี่แหละคือคนที่รักฟุตบอลมาก ขนาดที่ “ให้ฟุตบอลนำทางชีวิต”
จุดเริ่มต้นของ ‘บี แหลมสิงห์’ กับ ‘ฟุตบอลโลก’
แก่มากเลยครับ (หัวเราะ) ปี 1986 อยู่ป.5 ได้ดูฟุตบอลโลกครั้งแรกหลังจากได้อิทธิพลมาจากคนในครอบครัว จากฟุตบอลปี 1982 เรายังเด็กมาก 5-6 ขวบเอง แต่ว่าได้อ่านหนังสือปูพื้นฐานมาประมาณ 3 ปี ก็คือ ป.2-4 ที่บ้านซื้อหนังสือบอลให้อ่านตั้งแต่เด็ก เราได้อ่านหนังสือ Extra ฟุตบอลโลก มันเป็นภาพเส้นประ เหมือนคนวิ่งไปทางนู้นทางนี้แล้วก็ยิงประตูเข้า ก็เลยอยากรู้ว่ามันคืออะไร และก็เหมือนกับจับทิศทางของตัวเองได้ตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ได้ดูฟุตบอลโลกครั้งแรกปี 1986 ที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพ ครั้งนั้นได้ดูนัดเปิดสนามเพราะว่าเขาถ่ายทอดสดกลับมา นั่งดูทั้งบ้าน 10 กว่าคน แล้วมาอีกทีก็คือรอบน็อกเอาต์ มันเป็นฟุตบอลที่เตะดึก เพราะว่าเม็กซิโกคือรุ่งอรุณแห่งฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 เขาเคยจัดมาแล้วปี 1970โชคดีที่น้าชายเป็นกะลาสีเรือ และก็เดินทางกลับมาจากแอฟริกาใต้ ตัดสินใจหยุดงานแต่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับเวลาประเทศไทย ปรับตัวเข้ากับเวลาฟุตบอล ถึงเวลาปุ๊บก็ปลุกเด็ก ป.5 ขึ้นมาดูบอลเป็นเพื่อน แกดูบอลเก่งมาก แตกฉาน และเราก็ดูอยู่กับคนที่เขาแตกฉาน ทำให้เราดูฟุตบอลได้อย่างสนุกแล้วก็ชอบมัน หลงเสน่ห์มันเลย ยิ่งซื้อ Extra ฟุตบอลโลกมาให้ก็ยิ่งเพิ่มพลังความบ้าให้เรา และฟุตบอลปีนั้นมันดีมากด้วย มันมีแมตช์ที่ยังพูดกันถึงทุกวันนี้ 2 แมตช์ ก็คือฝรั่งเศสกับบราซิลในรอบ 8 ทีม และอาร์เจนตินากับอังกฤษ Hand of God กับการเลี้ยงเข้าไปยิงที่ดีที่สุดของดิเอโก มาราโดนา (Diego Maradona) พอมันเริ่มจากจุดที่มันพีคมันก็เลยทำให้เราหนีฟุตบอลโลกไม่ได้ เลยใช้ชีวิตอิงกับฟุตบอลโลกมาโดยตลอด ฟุตบอลโลกทำให้ผมไม่จำพุทธศักราชไปจำคริสต์ศักราชเพื่อรอว่าเมื่อไรฟุตบอลโลกจะมา
ฟุตบอลคู่นี้มีดาราเยอะมาก ซึ่งบราซิลเรารู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าเก่ง คำว่าลีลาของบราซิลนี่ได้ยินมาตลอด แล้วก็ฝรั่งเศสชุดนั้นมันคือบราซิลแห่งยุโรป ยิ่งทำให้เราที่เป็นเด็กงง ว่าทำไมบราซิลมันมีสองทีม และโชคดีที่แมตช์นี้ หลายคนอาจจะได้ดูถ่ายทอดสดแล้วจบ แต่ผมได้ดูแมตช์นี้อีกเป็นสิบ ๆ รอบ เพราะพ่อผมที่ไปทำงานที่ซาอุฯ รุ่นแรก ๆ ตอนนั้นพ่อไปทำงานอยู่ที่รียาดและฟุตบอลโลกถ่ายทอดสดที่นั่น เขาก็อัดวิดีโอมา 2 ม้วน ม้วนหนึ่งมันได้ 120 นาที บอลมันเตะ 120 นาทีครับ แล้วพอยิงลูกโทษก็อัดอีกม้วนนึง แล้วเด็กสมัยก่อนโอกาสที่จะหาอะไรดูมันยากอยู่แล้ว ทีวีมันน้อยช่อง พอมีวิดีโอนี่ถือว่าโอเคเลยนะในยุค 80 พ่อกลับมาในปี 1987 เขาก็เอาวิดีโอกลับมาดู ผมได้ดูคู่นี้เป็นสิบ ๆ เที่ยวเลย แล้วมันไม่เบื่อ มันเป็นฟุตบอลที่ว่า โอ้โห! อะไรขนาดนั้น แดดก็ร้อน แต่ก็วิ่งไปกลับกันแบบน่าประทับใจมาก
เรื่องราวสุดประทับใจในฟุตบอลโลก
ต้องเรียนแบบนี้ว่าผมยังไม่มีโอกาสได้ไปดูถึงสนาม มีโอกาสใกล้เคียงหลายครั้งแต่ยังไม่ได้ดู ถ้าถามว่าประทับใจที่สุดในฟุตบอลโลกมันบอกไม่ถูก มันเยอะมาก เพราะผมใช้ชีวิตผูกพันกับฟุตบอลโลก ก็คือขึ้นม.3 ก็บอลโลก เรียนปีหนึ่งก็บอลโลก เรียนจบแล้วได้ทำงานเลยก็บอลโลกเหมือนกัน ก็คือ 1998 และพอมาอยู่ในฐานะมือโปรปีแรกคือปี 2002 ก็บอลโลกอีก ปี 2006 ได้พากย์บอลโลกครั้งแรกผ่านทางวิทยุ และก็ได้รับความชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง popular มากเพราะพากย์แนวตลก สนุกสนานแต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ผมขอเลือกปีที่พีค เรายังสดมาก ยังหนุ่มแน่นมากก็คือปี 2002 ครั้งนั้นผมได้ดูฟุตบอลโลกทุกคู่ เขียนวิเคราะห์ทุกคู่ ดูทุกคู่เพราะเวลามันกลางวันหมดเลย เขียนสกู๊ป เขียนงานวิเคราะห์ทุกคู่ เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานแบบครบองค์ประชุมที่สุด ก็คือ หนึ่ง หนังสือพิมพ์แนวหน้า รับผิดชอบ สอง จัดรายการวิทยุ ครั้งแรกเลยเหมือนกัน ทาง สวพ. FM91 ตลอดทัวร์นาเมนต์ แล้วก็จัดรายการทีวีครั้งแรก ได้รับการเชิญไปออกที่ไอทีวีและก็ประจำที่ไทยทีวี ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นครั้งแรก ซึ่งตรงกับการเริ่มต้นของคุณธีรพัฒน์ อัครเศรณี เขาก็เริ่มครั้งแรกปีนั้นเหมือนกัน

จังหวะชีวิตที่ผูกพันกับฟุตบอลโลก
ปี 2006 ที่ได้พากย์ครั้งแรกทางวิทยุ พากย์บอลครั้งแรกเลยดีกว่า ไม่เคยพากย์บอลก็ได้พากย์ทางวิทยุ ปี 2010 ลูกชายเกิดระหว่างช่วงฟุตบอลโลก เช้าเราไปเตรียมอัดรายการ ปรากฏว่าแฟนเจ็บท้องกะทันหันล่วงหน้า 3 วัน ก็พาไปโรงพยาบาล จากนั้นไปอัดรายการ อัดฟุตบอลโลกก่อน จากนั้นเขียนข่าวฟุตบอลโลก ระหว่างเขียนข่าวฟุตบอลโลก น้องสาวโทรมาบอกว่าพี่สาวจะคลอดแล้ว เราก็รีบไปเซ็นผ่าคลอด ระหว่างที่ผ่า หัวหน้าหรือเพื่อน ๆ ก็โทรมาให้กำลังใจ เพราะคืนนั้นมีคิวพากย์บอลโลกตี 2 แล้วลูกคลอด 2 ทุ่มครึ่ง คือมันพันกันหมด แล้วปี 2014 นี่อกหักฟุตบอลโลก กำลังจะได้ไปครั้งแรกเเล้วก็เกิดอุบัติเหตุกลางทางไม่ได้ไป ในปี 2018 ครั้งล่าสุด ก็ถือว่าเป็นอีกครั้งที่ได้ทำงานฟุตบอลโลกอย่างเต็มรูปแบบ รู้สึกว่าชีวิตเรามันผูกกับฟุตบอลโลก ปี 2018 สูญเสียคนที่ซื้อหนังสือฟุตบอลโลกให้ คือตา ก่อนฟุตบอลโลกประมาณ 3 เดือน
ทีมชาติไหนที่บี แหลมสิงห์ เชียร์ในฟุตบอลโลก!
ลำบากใจจังครับ (หัวเราะ) จริง ๆ เด็กรุ่นผมที่โตขึ้นมาในยุค 80 จะได้รับข่าวสารทีมชาติอังกฤษ มันเหมือนกับถูกย้อมให้เชียร์อังกฤษไปในตัว ถามว่าเชียร์ไหม ผมว่าผมเฉย ๆ นะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็เชียร์ กระทั่งปี 2006 ได้บรรยายฟุตบอล ตอนนั้นเขาจัดงานทั้งที่ลานกิจกรรมด้วยทั้งพากย์ที่สถานี แล้ววันนั้นพากย์ที่ CAT Telecom คนดูเยอะมาก หลายพันคน เป็นคู่ดึกแต่คนก็ยังดู เพราะเป็นอังกฤษกับโปรตุเกส ผมก็พูดเล่นในสไตล์ของผม คืออังกฤษเนี่ยชอบแพ้ลูกโทษแล้วตกรอบ ก็เลยบอกว่าถ้าวันนี้มันแพ้ลูกโทษอีกนะแล้วต้องตกรอบคาปากฉันเนี่ย จะเลิกเชียร์มันตลอดชีพ ไม่เชียร์มันเลย แล้วจะเป็นฝั่งตรงข้ามด้วย แล้วอังกฤษก็แพ้ลูกโทษครับ แพ้โปรตุเกส (หัวเราะ)แล้วคือแบบคนทั้งลานแบบหัวเราะกันสุดยอด คือกองเชียร์อังกฤษก็เยอะ แต่กลายเป็นความผิดหวังที่เป็นความตลก ออนแอร์ทาง FM99 อสมท. ก็เลยแต่วันนั้นก็เลยไม่มีทีมเชียร์ในฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 2010 แต่ 2018 ไปหลงเสน่ห์ของทีมชาติบราซิลตอนไปทำข่าวโอลิมปิก คือบราซิลเนี่ยมันอยู่ในพื้นฐานจิตใจตั้งแต่บราซิลเจอกับบราซิลแห่งยุโรปแล้วเมื่อปี 1986 พอได้ไปเห็นว่าฟุตบอลมันคือชีวิตของคนที่นี่ นัดชิงชนะเลิศผมไม่เคยได้ยินเสียงคนดีใจเฮยาวนานถึงขั้นนั้น วันที่พวกเขาได้เหรียญทองโอลิมปิกสมัยแรกตั้งแต่จัดโอลิมปิกมาเลย ผมได้ไปอยู่ในสนามตอนที่บราซิลชนะเยอรมนีก็เป็นจุดโทษ ก็เลยคิดว่าเชียร์บราซิลดีกว่า ทั้งที่บราซิลมันอยู่กับเรานี่แหละ ไม่เคยไปเชียร์มากมาย แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นมาก็แอบเชียร์บราซิลแล้วก็ตกรอบสบาย เชียร์บราซิลนะครับ ตอนนี้กองเชียร์บราซิลแบบเต็มตัว พอกลับบ้าเช็กดูมีเสื้อทีมชาติบราซิลอยู่ 10 กว่าตัว ตอนที่ไปบราซิลผมต้องพกเสื้อบราซิลถึงรู้ว่ามีเสื้อบราซิลเยอะขนาดไหน
แล้ว World Cup 2022 มองว่าใครจะเป็นแชมป์?
คือฟุตบอลโลกหลายครั้งหลายครามันมีเสน่ห์ของมัน ก็อยากให้ทีมที่เราเป็นเชียร์เป็นแชมป์ ผมก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำกับอังกฤษนะ มันเหมือนกับว่าเป็นแฟนเก่ากัน คืออังกฤษก็ยังไปได้ไม่ดี แต่เข้าใกล้เรื่อย ๆ อันนี้น่าสนใจ จาก 2 ทัวร์นาเมนต์ ทั้งชิงแชมป์โลกและชิงแชมป์ยุโรป ขณะเดียวกันทีมที่เต็งแชมป์จริง ๆ ถ้าถามว่าควรจะให้เมสซี (Lionel Messi) หรือโรนัลโด (Cristiano Ronaldo) ผมไม่รู้นะแต่ผมมีความรู้สึกว่า 2 คนนี้จะเป็นตำนานด้วยการไม่ได้แชมป์โลกขณะเดียวกันถ้าจะให้เชียร์บราซิลให้เป็นแชมป์ตามที่เราเป็นแฟนบอล เรามีความรู้สึกว่ากองหน้าบราซิลเองชุดนี้ติดแอคไปหน่อย ถ้าไม่ติดแอคบราซิลจะเป็นแชมป์โลก ยิ่งบอลมันเปลี่ยนได้ 5 คนด้วย แล้วบราซิลมีกองหน้าขนาดใหญ่ แต่ผมว่าโอกาสที่บราซิลจะกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้งในรอบ 20 ปี มีมากกว่าเมสซี่กับโรนัลโด ผมไม่ได้เข้าข้างนะ ถึงแม้ว่าจะหลงเสน่ห์บราซิล พูดตามที่เห็น พอมองปุ๊บ ก็กลัวว่าบางอย่างมันจะทำให้เขาไม่ได้แชมป์ก็คือเรื่องของอีโก้ บราซิลทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็มาจากศูนย์หรือติดลบ เพราะส่วนใหญ่บราซิลจะเป็นคนจนขึ้นมาไม่ค่อยมีคนรวย ผมก็คิดว่าโอกาสมันอยู่ที่บราซิล ไม่ได้เกี่ยวกับการเชียร์บราซิล

ประสบการณ์สุดแย่ในฟุตบอลโลก
มุมมองของผมถ้าไม่ใช้ผู้สื่อข่าวใด ๆ เลยนะ เกี่ยวกับมุมมองฟุตบอลโลกตอนนี้ คือ หนึ่ง ฟุตบอลโลกมันไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนเดิม เนื่องจากว่านักกีฬาต่าง ๆ เขามาเล่นในแถบยุโรปทำให้เรารู้สึกว่าเราเห็นพวกเขาอยู่บ่อย ๆ ด้วยเทคโนโลยีด้วย และด้วยการที่ปากกัดตีนถีบต้องมาจากบ้าน บางคนมาตั้งแต่ 16-17 ปี ทำให้นักบอลมันเล่นไม่สวยเหมือนเมื่อก่อน และก็คาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลโลก เหมือนจะบอกได้เลยว่าใครจะเป็นแชมป์กลาย ๆ ในปีนั้น ในขณะเดียวกันข้อที่สอง รู้สึกว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ถูกทำร้าย ฟุตบอลโลกกับการเมืองมันเกี่ยวพันกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนที่ไม่เข้าใจกีฬาและไม่เข้าใจการเมืองจะพูดว่าฟุตบอลกับการเมืองไม่เกี่ยวกัน คนพวกนี้คือคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ ผมว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นในสนาม ตั้งแต่ดูบอลโลกมา แม้ว่าผลจะแพ้ชนะยังไง มันก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด ผมมองว่าเหตุการณ์ปี 1994 ที่อันเดรส เอสโกบาร์ (Andrés Escobar) สกัดเข้าประตูตัวเองแล้วกลับบ้านไปถูกยิงเสียชีวิต ผมรู้สึกว่าครั้งนั้นแหละเป็นฟุตบอลโลกที่เห็นข่าวแล้วเศร้า เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังที่เขาตกรอบไปแล้ว ถูกยิงตายที่ลานจอดรถแถวบ้าน แต่ถ้ามองในวงรอบทั้งหมดเลย ผมว่าประสบการณ์เลวร้ายคือ กฎ Must Have ในครั้งนี้
เรื่องลิขสิทธิ์บอลโลก ผมคิดว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ ถูกเล่นเกมมากเกินไป เอามาเล่นแบบไม่ยุติธรรม ซึ่งผมไม่ชอบเรื่องนี้มาก เหมือนเอาฟุตบอลโลกมาเป็นตัวประกันอะไรบางอย่างชอบกล ฟุตบอลโลกที่กาตาร์ได้รับเลือกมานานแล้ว กำหนดการแข่งขันมาตั้งนานแล้ว เขาไม่ได้เพิ่งมาบอกเมื่อ ต้นเดือนว่าเดี๋ยววันที่ 20 ไปเตะบอลโลกกันนะ การซื้อลิขสิทธิ์ คือไม่มีการวางแผนล่วงหน้า แล้วการคืนความสุขให้ประชาชนมันมีหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องฟุตบอลโลก ตั้งแต่ปี 2014 แต่คนที่ต้องกลืนเลือดบนความสุขของประชาชนครั้งนั้นแล้วโดนด่าฟรี ก็คือ RS ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครนะแต่ผมทำข่าวอยู่ ผมรู้สึกว่า RS ถูกกระทำ ก็คือกฎ Must Have และสุดท้ายกฎ Must Have ก็มัดคอตัวเองในฟุตบอลโลกครั้งนี้
มันเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นบางอย่างว่าการเมืองกับการบอลมันอยู่ด้วยกัน แล้วมันมีตัวอย่างสำคัญให้เห็น จากยูโรที่ผ่านมา เตะวันศุกร์ ได้ลิขสิทธิ์วันศุกร์ แถลงข่าวบ่ายวันศุกร์ กลางคืนวันศุกร์เตะ นั่นสะท้อนให้เห็นถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วครั้งนี้มันกลายเป็นว่าฟุตบอลโลกถูกด่าโดยไม่สมควร ผมรู้สึกว่าฟุตบอลถูกทำร้าย บางคนกลับบอกว่าดูลิงก์เถื่อนเอาก็ได้ นั่นแสดงว่าคุณอาจจะดูฟุตบอลแบบเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ดูแบบเข้าถึงกระดูกดำอย่างใครหลาย ๆ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีผม
ผมว่าหลายคนก็พร้อมที่จะเปย์เพื่อดูฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลกมีค่าเกินกว่าจะถูกทำร้ายและจะให้ดูฟรีหมดเลยในยุคปัจจุบัน ดูฟรีเป็นจุดประสงค์ที่ดี แต่แบบดูฟรีเท่านี้ จากนี้ก็ต้องเปย์ ผมว่าระบบนี้เอามาใช้เถอะครับ คนพร้อมเปย์นี่ ไม่ได้มีเงินนะ แต่ผมมองว่า 4 ปีฟุตบอลโลกมีครั้งหนึ่ง คุณก็รู้ว่ามันจะมีฟุตบอลโลกอีก 4 ปีข้างหน้า คุณเก็บเงินวันละบาท คุณได้ดูฟุตบอลโลกแล้ว ปีหนึ่ง 365 บาท ก็เก็บไป 3 ปีได้ 1,000 ก็คิดง่าย ๆ แล้วบางคนก็ไม่พอใจเรื่องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไป สุดท้ายก็มาด่าฟุตบอลผมทำไม

ถอดหัวโขนจากบทบาทคนทำงานมาเป็นแฟนบอลธรรมดา จะมองบอลโลกต่างออกไปไหม
แยกไม่ออกเหมือนกันระหว่างตอนทำงานกับการเป็นแฟนบอล เราได้ทำงานกับสิ่งที่เราชอบ มันก็เลยดูเหมือนไม่รู้ว่าตอนนี้เราทำงานหรืออยู่ในฐานะแฟนบอล คือผมใช้ชีวิตโดยที่ฟุตบอลนำทาง อยู่กับฟุตบอลมาตลอด แฟนผมถึงขั้นเคยบอกว่า พระที่บูชา เอาลูกบอลมาวางไว้ข้างล่างหิ้งก็ได้ อย่างแรก ถ้าไม่มีฟุตบอล ผมบอกได้เลยว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำอาชีพอะไร อย่างที่สอง ฟุตบอลนอกจากจะให้จุดยึดเหนี่ยวสำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว มันยังให้ชีวิตด้วย ให้วิถีการทำงาน ให้เราได้เจอคนดี ๆ ที่อยู่ในวงฟุตบอล ให้เราได้เจอคนไม่ดีในแวดวงฟุตบอล ผมไม่รู้จะตอบยังไง แต่ผมคิดว่าผมอยู่กับมันตลอดเวลา ผมแยกมันไม่ออกเหมือนกันว่ามันเป็นงาน งานอดิเรก หรือความชอบ หรืออะไร ด้วยการที่เอาสิ่งที่ชอบมาทำงานมันก็เลยแยกไม่ออกเหมือนกัน ชีวิตอยู่กับฟุตบอลแต่มุมมองแตกต่างกันยังไง ก็คือ ณ เวลานี้ ด้วยอายุขึ้นมา 47 แล้ว เริ่มไม่สนุกแล้วสำหรับคนทำงาน เริ่มที่จะไม่สนุก คนทำงานกับคนดูบอลคนละอย่างเลยนะ ถ้าเป็นพาร์ทคนดู ผมตื่นเต้น ทุกวันนี้ก็พยายามให้มันชีวิตมันไป 2 อย่างคู่กัน คือตื่นเช้ามา เฮ้ย! ดูบอลโลก นับถอยหลังตัวเองเป็นเดือน แล้วก็ทำรายการช่องยูทูบเล่าเรื่องฟุตบอลโลกมา 23 ตอนก่อนเข้าฟุตบอลโลก อันนี้ทำในฐานะแฟนบอล สนุกมาก แต่ในขณะเดียวกันในมุมของคนทำงานมันเหนื่อยมานานแล้ว มันมีอะไรให้เราวิ่งอยู่ตลอดเวลาถึง 30 วัน แต่นั่นแหละ ด้วยความชอบก็คงจะเหมือนเดิมทุกประการ ก็คือสนุกมากในฐานะแฟนบอล ส่วนทำงานก็สนุกด้วยเหนื่อยด้วย เพราะฟุตบอลโลกของผม ยังไงก็เป็นมหกรรมที่สร้างความสุข เพราะเราดูฟุตบอลกันอย่างจริงจังครับ