มักซ์ เวอร์สแตพเพน: ยอดแชมป์โลก F1 ที่ขับเคลื่อนด้วย DNA ความเป็นผู้ชนะ

11 ตุลาคม 2566 - 08:31

Max-Verstappen-RedBull-Racing-driver-story-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ศึกฟอร์มูล่าวัน 2023 ได้แชมป์โลกไปแล้วเรียบร้อยนั่นก็คือ ‘มักซ์ เวอร์สแตพเพน’ เจ้าเก่าหน้าเดิม ที่คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครองได้สำเร็จ

  • วันนี้เราก็จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก ‘ซูเปอร์มักซ์’ หรือ มักซ์ เวอร์สแตพเพน ยอดนักแข่งแห่งทีม เรดบูลล์ เรซซิ่ง กันให้มากขึ้นกว่าเดิม

ใกล้จบฤดูกาลเข้าไปทุกทีแล้วสำหรับศึกรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ ฟอร์มูล่าวัน การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ฮิตที่สุดโลก โดยปัจจุบันเหลือการแข่งขันอีกทั้งหมด 5 สนาม แบ่งเป็นทวีปอเมริกาอย่าง สหรัฐฯ 2, เม็กซิโก 1 และ บราซิล 1 หลังจากนั้นก็จะไปปิดท้ายปีที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจริงๆ เชื่อว่าใครที่ติดตามการแข่งน่าจะรู้กันว่าเราได้แชมป์โลกประจำซีซัน 2023 ไปแล้วเรียบร้อยที่ กาตาร์ กรังด์ปรีซ์ และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าเก่าหน้าเดิมอย่าง ‘มักซ์ เวอร์สแตพเพน’ ที่คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ไปนอนกอดแล้ว

และวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก ‘ซูเปอร์มักซ์’ หรือ มักซ์ เวอร์สแตพเพน ยอดนักแข่งแห่งทีม เรดบูลล์ เรซซิ่ง กันให้มากขึ้นกว่าเดิม

ชีวิตเกิดมาเพื่อเป็นนักแข่งรถ

มักซ์ เวอร์สแตพเพน เด็กหนุ่มลูกครึ่งเนเธอร์แลนด์-เบลเยียม เหมือนชีวิตของเขาถูกกำหนดมาว่าต้องเกิดมาเพื่อเป็นนักแข่งรถ เพราะพ่อของเขาคือ จอส เวอร์สแตพเพน อดีตนักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน และแม่ของเขาอย่าง โซฟี คัมเปน ก็เป็นถึงอดีตแชมป์โกคาร์ทชาวเบลเยียม จึงทำให้เขามีสายเลือดของการเป็นนักแข่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนที่จะเริ่มขับรถโกคาร์ทตั้งแต่อายุ 4 ขวบ!

Max-Verstappen-RedBull-Racing-driver-story-SPACEBAR-Photo01.jpg

แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นในวงการมอเตอร์สปอร์ตของนักแข่งฟอร์มูล่าวันหลายคนมาจากการขับโกคาร์ท เช่นเดียวกันกับมักซ์ หลังจากเริ่มขับตอนอายุ 4 ขวบ เวลาผ่านไปราวๆ สามปี เมื่อเขาอายุได้ 7 ขวบ ก็เริ่มลงแข่งขันชิงแชมป์แบบจริงจังในรายการ มินิ จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ ที่ประเทศเบลเยียม บ้านเกิดของตัวเอง ใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 ปี กวาดแชมป์ในประเทศมาเกือบหมด จากนั้นก็ขยับขึ้นไปสู่ระดับนานาชาติในปี 2010 กับรายการ KF3 ซึ่งสุดท้ายเขาก็กวาดแชมป์ไปมากมายกว่า 13 รายการ โดยช่วงปีสุดท้ายของการแข่งโกคาร์ท มักซ์ ได้ทั้งแชมป์ยุโรปในรุ่น KF2 กับ KZ1 และเป็นแชมป์โลกในรุ่น KZ1 ทำให้เป็นการสร้างสถิติกลายเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์โลกรายการนี้

ในช่วงต้นปี 2014 มักซ์ ขยับขึ้นไปแข่งขันแบบที่นั่งเดี่ยวครั้งแรกกับรายการ ฟลอริดา วินเทอร์ ซีรีส์ โดยชนะการแข่งขันไปเพียง 2 รายการ ก็ได้โยกไปขับ ฟอร์มูล่าทรี ต่อกับทีม Van Amersfoort Racing ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อคว้าอันดับ 1 ได้ตั้งแต่รอบ 3 ของสนามที่ 2 ที่เยอรมัน หลังจากนั้นก็ไปทำสถิติชนะ 6 ครั้งรวดที่สนามสปา-ฟรองกอร์ช็องป์ส และ นอริสริง จนสุดท้ายสามารถจบซีซันไปด้วยชัยชนะทั้งหมด 10 รายการ คว้าอันดับ 3 ในตารางคะแนนรวม โดยแชมป์ในปีนั้นตกเป็นของ เอสเตบัน โอคอน ที่ขับฟอร์มูล่าวันอยู่ด้วยกันในปัจจุบัน และจากผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ก็ทำให้เขาเป็นที่จับตามองจากทีมยักษ์ใหญ่ของวงการเอฟวันทั้ง เมอร์เซเดส และ เรดบูลล์ แต่สุดท้ายในเดือนสิงหาคม มักซ์ก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมทีม เรดบูลล์ จูเนียร์

ก้าวแรกในฟอร์มูล่าวันกับวัยเพียงแค่ 17 ปี

Max-Verstappen-RedBull-Racing-driver-story-SPACEBAR-Photo02.jpg

หลังจากเข้ามาอยู่ในทีม เรดบูลล์ จูเนียร์ ในปี 2014 มักซ์ เวอร์สแตพเพน ก็มีโอกาสทันที เมื่อเขากลายเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุด (17 ปี 3 วัน) ที่ได้มีส่วนร่วมในฟอร์มูล่าวัน กรังด์ปรีซ์ หลังจากได้ขับในช่วงซ้อม FP1 สามครั้งให้กับทีม โตโร รอสโซ ทีมลูกของ เรดบูลล์ เรซซิ่ง จนในที่สุดเจ้าตัวก็ได้รับการประกาศจากทีมว่าจะได้ลงแข่งในฤดูกาล 2015 เป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาชนิดนี้ด้วยวัย 17 ปี 155 วัน และแน่นอนว่ามันมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลจากหน้าสื่อที่ต่างเห็นตรงกันว่า มักซ์ ยังเด็กเกินไป มันเสี่ยงมากที่จะให้เด็กที่ยังไม่มีแม้กระทั่งใบขับขี่มาลงแข่งฟอร์มูล่าวัน และเรื่องนี้มันจะจบไม่สวยแน่นอน ซึ่งเขาก็ลบข้อครหานั้นด้วยการทำแต้มในซีซันเปิดตัวไปถึง 49 คะแนน จบอันดับ 12 บนตารางนักขับ อยู่สูงกว่า เฟอร์นานโด อลอนโซ่ นักขับรุ่นพี่มากประสบการณ์เสียอีก

จากผลงานอันยอดเยี่ยมของมักซ์ ทางทีมชุดใหญ่อย่าง เรดบูลล์ เรซซิ่ง ก็ไม่รอช้า ดึงเขาขึ้นมาขับให้ทีมตั้งแต่เรซที่ 5 ของปี 2016 ซึ่งเขาก็ตอบแทนด้วยผลงานสุดเหลือเชื่อเมื่อสามารถเข้าเส้นชัยคว้าที่ 1 ได้ใน สแปนิช กรังด์ปรีซ์ สร้างสถิติเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดด้วยวัย 18 ปี 228 วัน ที่ได้จบการแข่งขันบนโพเดียม, เอาชนะการแข่งขันได้ และเป็นผู้นำในเรซ แล้วยังคงยอดเยี่ยมต่อเนื่องเมื่อเขากลายเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำ Fastest Lap ได้ใน บราซิเลียน กรังด์ปรีซ์ ด้วยวัย 19 ปี 44 วัน โดยในฤดูกาลนั้นเขาสร้างสุดยอดผลงานจากการจบปีด้วยชัยชนะ 1 ครั้ง ขึ้นโพเดียมอีก 7 ครั้ง ทำคะแนนรวมได้มากถึง 204 คะแนน จบบนตารางคะแนนนักขับด้วยอันดับ 5 กลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดของวงการฟอร์มูล่าวันไปโดยปริยาย

แต่ด้วยอายุที่ยังเป็นแค่วัยรุ่น จริงอยู่ที่เขามีพร้อมทั้งความเร็ว ทักษะ ความกล้าหาญในการลงแข่งที่พิสูจน์ให้สายตาของหลายคนเห็นไปแล้ว แต่ในความกระหายชัยชนะของมักซ์ที่บางทีมีมากเกินไปก็ทำให้ทีมต้องปวดหัวอยู่หลายครั้งเหมือนกัน เพราะเจ้าตัวมักจะดื้อกับทีมงาน ชนคนอื่นให้เห็นอยู่บ่อยๆ แม้จะทำผลงานภาพรวมได้ดีก็ตาม โดยในปี 2017 ให้หลังจากการขึ้นไปอยู่กับ เรดบูลล์ เรซซิ่ง แค่ปีเดียว เขารีไทร์การแข่งขันไปมากถึง 7 ครั้ง ถึงอย่างไรก็ตาม ทีมกระทิงแห่งออสเตรียก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขา เพราะคงไม่มีครูคนไหนสอนเขาได้ดีไปกว่าครูที่ชื่อว่า ‘ประสบการณ์’

จากความเชื่อมั่นสู่การเป็นแชมป์โลก

Max-Verstappen-RedBull-Racing-driver-story-SPACEBAR-Photo03.jpg

ตลอดช่วงเวลาที่ มักซ์ อยู่กับ เรดบูลล์ เรซซิ่ง เขาพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในฐานะนักแข่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือมากที่สุดในเจเนอเรชั่นใหม่ ในฤดูกาล 2019 เจ้าตัวกลายเป็นนักขับดัตช์คนแรกที่สามารถคว้าตำแหน่ง Pole Position ได้สำเร็จ ซึ่งในปีนั้นกลายเป็นปีแรกที่เขาก้าวขึ้นมาติดท็อปทรีของตารางคะแนนนักขับได้สำเร็จ โดยทำไปได้ทั้งหมด 278 คะแนน จากการขึ้นโพเดียมทั้งหมด 9 หน เป็นชัยชนะ 3 ครั้ง และรีไทร์ไปเพียงแค่ 2 สนามเท่านั้น ซึ่งในปีต่อมา มักซ์ ก็ยังรักษามาตรฐานไว้ได้เหมือนเดิมด้วยการจบอันดับ 3 บนตารางคะแนน แต่คราวนี้ขึ้นโพเดียมไปมากถึง 11 ครั้ง

จนในที่สุดผลลัพธ์ของการเชื่อมั่นในตัว มักซ์ เวอร์สแตพเพน ก็เห็นผลเป็นรูปเป็นร่าง หลังจากที่ในปี 2019 และ 2020 เขาและทีมเริ่มส่งสัญญาณไปถึง ลูอิส แฮมิลตัน และ เมอร์เซเดส แล้วว่าพวกเขาพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาชิงตำแหน่งแชมป์โลกแบบจริงจัง แล้วก็ทำได้สำเร็จ เมื่อในฤดูกาล 2021 ‘ซูเปอร์มักซ์’ สู้กับ ‘เซอร์ลูอิส’ ได้อย่างสูสีตลอดฤดูกาล โดยเขากวาดชัยชนะไปได้ถึง 9 รายการ ก่อนที่ในช่วงท้ายซีซัน แฮมิลตัน จะมาชนะ 3 เรซรวดที่บราซิล, กาตาร์ และ ซาอุดิอาระเบีย ทำให้ต้องไปวัดกันในสนามสุดท้ายที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีดราม่าเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเซฟตี้คาร์ที่มาออกช่วงท้ายของการแข่ง ทำให้มักซ์ตามมาจี้ท้ายแฮมิลตัน และแซงได้ในรอบสุดท้าย คว้าแชมป์โลกปี 2021 มาครองได้สำเร็จ กลายเป็นนักขับดัตช์คนแรกที่คว้าแชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน แถมยังสร้างสถิติเป็นนักแข่งที่สามารถจบอันดับบนโพเดียมได้มากสุดถึง 18 ครั้งต่อฤดูกาล

สำหรับฤดูกาลที่ผ่านมา เขาก็ยังคงรักษามาตรฐานที่สูงของตัวเองไว้ได้อย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันในปีอีก 4 เรซ ด้วยการสร้างสถิติชนะมากที่สุดในฤดูกาลเดียวไปถึง 15 ครั้ง ทำลายสถิติก่อนหน้าที่ เซบาสเตียน เวทเทล และ มิคาเอล ชูมัคเกอร์ เคยทำเอาไว้ด้วย บวกกับสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยการทำแต้มได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลที่ 454 คะแนน

Max-Verstappen-RedBull-Racing-driver-story-SPACEBAR-Photo04.jpg

ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มักซ์ เวอร์สแตพเพน กลายเป็นนักแข่งชั้นแนวหน้าของวงการฟอร์มูล่าวันไปแล้วเรียบร้อย โดยในฤดูกาล 2023 เจ้าตัวคว้าแชมป์โลกนักขับไปแล้วใน กาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ที่ผ่านมาทั้งๆ ที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 6 เรซ จนทำให้สื่อแปลกใจว่ายิ่งขับเขายิ่งเร็วขึ้น แถมยังพลาดน้อยลงมากๆ แล้วเขายังเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆ อันน่าเหลือเชื่อขึ้นมาตลอด เช่น คว้าชัยชนะติดต่อกันมากที่สุด 10 เรซ ต่อด้วยชนะการแข่งขันจากการออกสตาร์ทตำแหน่ง Pole Position มากที่สุดถึง 10 ครั้งในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งก็ยังสามารถยืดสถิติออกไปได้อีกในช่วงที่เหลือ รวมไปถึงสถิติจบ 2 อันดับแรกติดต่อกันมากที่สุด 15 ครั้ง เทียบเท่ากับตำนานตลอดกาลอย่าง มิคาเอล ชูมัคเกอร์ น่าเสียดายที่ใน สิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ เขาไม่ชนะ ไม่งั้นก็คงทำลายสถิตินี้ไปแล้ว

แต่กับสัญญาปัจจุบันกับ เรดบูลล์ เรซซิ่ง ทีมกระทิงดุแห่งออสเตรีย ที่ยังคงมีอยู่ถึงปี 2028 หรืออีก 5 ฤดูกาลต่อจากนี้ ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของเขาที่ยิ่งขับก็เหมือนยิ่งเร็วขึ้น ยากที่จะหาใครมาเทียงเคียงได้ในเวลานี้ ก็เชื่อว่า ‘ซูเปอร์มักซ์’ จะทำลายสถิตินั้นได้ไม่ยาก และยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

วิดีโอเส้นทางความสำเร็จของ มักซ์ เวอร์สแตพเพน
www.youtube.com/watch?v=FNoo9EMrC10

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์