นับตั้งแต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ประเดิมทีมชาติโปรตุเกสชุดใหญ่ในปี 2003 เขาพาทีมเข้าสู่ทัวร์นาเมนท์ระดับเมเจอร์ได้แบบ 100 เปอร์เซนต์เต็ม ทั้งฟุตบอลยูโร 5 สมัย และฟุตบอลโลก 4 สมัย ซึ่งทุกครั้งเจ้าของรหัส CR7 เปรียบเสมือนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทีมจะขาดไม่ได้ ทว่าในกาตาร์ 2022 แฟนบอลทั่วโลกน่าจะได้เห็น "เดอะแบก" วัย 37 ปี ในบทบาทที่แตกต่างออกไป

ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ ‘โด้’
ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกในชีวิตของโรนัลโด้ เกิดขึ้นในปี 2006 ที่เยอรมนี ขณะที่เจ้าตัวมีอายุได้เพียงแค่ 21 ปี ซึ่งนับจากการแข่งขันในครั้งนั้นเป็นต้นมา ทีมชาติโปรตุเกสก็ได้รับคาดหมายให้เป็นทีมเต็งของทัวร์นาเมนท์ที่ลงแข่งขัน ขณะที่ "โด้" ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นดาวยิงอันดับต้นๆที่มีโอกาสคว้ารางวัลดาวซัลโวอยู่ทุกครั้งเช่นเดียวกัน
โดยการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2006 โรนัลโด้ มีส่วนพาทีมเข้าสู่รอบตัดเชือก หลังเอาชนะทีมชาติอังกฤษในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ซึ่งเจ้าตัวเป็นคนรับหน้าที่สังหารลูกโทษเป็นคนสุดท้าย แม้ในท้ายที่สุดโปรตุเกสจะต้องจอดป้ายเพียงรอบนี้ และพ่ายในรอบชิงที่ 3 แต่ก็ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกของทีมจากแดนฝอยทองในรอบ 40 ปี นับจากคว้าอันดับ 3 ในปี 1966
ตลอดฟุตบอลโลก 4 สมัย ตั้งแต่ปี 2006, 2010, 2014 มาจนถึง 2018 โรนัลโด้ทำสถิติลงสนามไปทั้งสิ้น 17 นัด ซึ่งมากที่สุดตลอดกาลของทีมชาติโปรตุเกส ยิงไปทั้งสิ้น 7 ประตู ที่สำคัญทำสถิติยิงประตูในฟุตบอลโลกได้ทั้ง 4 สมัย และในฟุตบอลโลก 2022 หากโรนัลโด้ ยิงประตูได้อีกครั้ง จะทำสถิติเป็นนักฟุตบอลที่ทำสกอร์ในฟุตบอลโลก 5 สมัยคนแรกของโลกทันที
ทั้งนี้แม้โรนัลโด้จะออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘กาตาร์ 2022’ จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของตัวเอง แต่ก็ยังยืนยันที่จะรับใช้ทีมชาติโปรตุเกสต่อไปหลังจบฟุตบอลโลก ซึ่งคงต้องตามดูกันว่า CR7 จะประกาศหันหลังให้ทีมชาติเต็มตัวในช่วงเวลาใด หรือหากสามารถพาโปรตุเกสไปสู่เป้าหมายสูงสุดได้ ก็อาจใช้ฟุตบอลโลกเป็นเวทีอำลาทีมชาติได้เช่นกัน

ฟอร์มการเล่นปัจจุบันที่ถูกตั้งคำถาม
เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย ที่ย้ายจากยูเวนตุสกลับสู่แมนฯยูไนเต็ดเป็นรอบที่สอง เมื่้อปี 2021 ถูกแฟนบอลและสื่อจับตามองอีกครั้ง หลังช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมาปฏิเสธร่วมทีม ‘ปิศาจแดง’ ในการทัวร์พรีซีซันพร้อมกระแสข่าวหน้าหูว่าต้องการย้ายทีม ส่งผลให้สถานการณ์ในสโมสรของดาวยิงจอมเก๋าเริ่มไม่ค่อยดีนัก และตกเป็นตัวสำรอง ทั้งที่ฤดูกาลก่อนยิงไป 24 ประตู จาก 38 นัดนอกจากจะโดนดร็อป และฟอร์มการถล่มประตูตกลงอย่างน่าใจหายแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าสภาพร่างกายของโรนัลโด้ ที่แม้จะดูฟิตเปรี๊ยะจากภายนอก แต่เมื่อลงไปเล่นในสนามแล้วความเร็วที่เคยเป็นจุดเด่นรวมถึงการตัดสินใจต่างๆก็ช้าลงไปเช่นกัน นั่นจึงทำให้เป็นเครื่องหมายคำถามว่า โรนัลโด้ จะยังคงเป็นบทบาทของ ‘เดอะแบก’ ให้กับทีมชาติในฟุตบอลโลกได้อยู่หรือไม่

อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับไปดูบทบาทของโรนัลโด้ในทีมชาติตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทีมในทุกทัวนาเมนท์ ขณะเดียวกันก็มีการปรับบทบาทของตัวเองเพื่อช่วยทีมในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการให้คำแนะนำกุนซือ แฟร์นานโด ซานโต๊ส ในปีที่คว้าแชมป์ยูโร 2016 จนถูกแซวว่าเป็นเฮดโค้ชตัวจริงด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นหากมองไปถึงบทบาทของโรนัลโด้ในทีมชาติชุดนี้ ไม่ว่าเขาจะถูกสื่อโจมตีว่าหมดสภาพอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทีม ซึ่งบางทีมแฟนบอลอาจจะไม่ได้เห็นเขาออกสตาร์ทตัวจริงเหมือนกับฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆ แต่เชื่อแน่ว่า ‘เดอะแบก’ วัย 37 ปี ยังมีดีที่จะช่วยทีมชาติไปสู่เป้าหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่่งแน่นอน
ฉะนั้นหากมองไปถึงบทบาทของโรนัลโด้ในทีมชาติชุดนี้ ไม่ว่าเขาจะถูกสื่อโจมตีว่าหมดสภาพอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทีม ซึ่งบางทีมแฟนบอลอาจจะไม่ได้เห็นเขาออกสตาร์ทตัวจริงเหมือนกับฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆ แต่เชื่อแน่ว่า ‘เดอะแบก’ วัย 37 ปี ยังมีดีที่จะช่วยทีมชาติไปสู่เป้าหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่่งแน่นอน