แม้ทีมชาติโครเอเชียจะลงเล่นฟุตบอลโลก 2022 ในฐานะ ‘รองแชมป์โลก’ แต่ก่อนที่ทัวร์นาเมนท์จะเริ่มต้นขึ้น เกจิทุกสำนักต่างมองว่า คงยากที่ทีม ‘ตราหมากรุก’ จะทำผลงานเข้าใกล้เมื่อ 4 ปีที่แล้วได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดีขุนพลโครแอต สามารถฝ่าด่านหินเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้เป็นอย่างน้อย ซึ่งหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของทีมชุดนี้ยังคงเป็น ลูก้า โมดริช กัปตันทีมวัย 37 ปี กองกลางที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาลของทีมชาติโครเอเชีย
เส้นทางสายลูกหนัง ‘โมดริช’ ชีวิตที่ต้องต่อสู้
เด็กหนุ่มจากเมือง Zadar ที่เติบโตขึ้นมาในช่วงสงครามประกาศเอกราชของโครเอเชียในปี 1991 ในวัยเพียงแค่ 6 ขวบ ลูก้าและครอบครัวถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่และกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม จนต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Zadar เป็นเวลาถึง 7 ปี ส่งผลให้สถานที่เล่นฟุตบอลของเขา เปลี่ยนจากสนามหญ้ามาเป็นลานจอดรถโรงแรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากลีลาการเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆในบริเวณลานจอดรถโรงแรมนี้เอง เป็นจุดเริ่มที่ทำให้แมวมองของทีมเยาวชนของ NK Zadar ได้เห็นฟอร์ม และตัดสินใจดึงตัวลูก้า โมดริช เข้าสู่ทีมเยาวชนในปี 1996 ถือเป็นการนับหนึ่งบนเส้นทางสายฟุตบอล และเติมเต็มความฝันที่อยากจะตามรอยดาวเตะรุ่นพี่อย่าง ซโวนีเมียร์ โบบัน ซึ่งค้าแข้งให้เอซี มิลาน ของอิตาลี ในช่วงเวลานั้น
ก่อนที่ในปี 2000 โมดริช จะได้รับโอกาสจากทีมดังจากเมืองหลวงอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ ดึงตัวเข้าสู่อคาเดมี และได้รับสัญญานักเตะอาชีพเป็นครั้งแรกในปี 2003 ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่อยู่กับทีม โมดริช มีส่วนช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกโครเอเชีย 3 สมัย และยิงไปทั้งสิ้น 26 ประตู จากการลงสนาม 96 นัด
ประสบความสำเร็จสูงสุดกับ ‘ราชันชุดขาว’
แม้จะเป็นกองกลางรูปร่างเล็ก สูงเพียง 172 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นรองนักเตะในยุโรปด้วยกัน แต่โมดริช ก็ทดแทนด้วยการที่เทคนิคการครองบอลที่ยอดเยี่ยม มีการเปิดบอลที่แม่นยำ รวมถึงสามารถวิ่งได้แบบไม่มีหมดตลอด 90 นาที อันเป็นสิ่งที่เขาได้รับความสนใจจากทีมดังในยุโรปมากมาย ก่อนจะเช็นสัญญาร่วมทีมท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในปี 2008
ช่วงเวลา 4 ฤดูกาลกับสเปอร์ส โมดริช ยกระดับมาตรฐานการเล่นของแผงกลางทีม ‘ไก่เดือยทอง’ ขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น และมีส่วนพาทีมคว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรก ก่อนที่ ‘เรอัล มาดริด’ ยอดทีมจากสเปนจะเป็นทีมต่อมา ที่ได้ลายเซ็นดาวเตะรายนี้ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ในปี 2012 มาจนถึงปัจจุบัน
โดยนับจากที่โมดริชย้ายไปร่วมทีม ‘ราชันชุดขาว’ เขากลายเป็นกองกลางคนสำคัญที่ทีมจะขาดไม่ได้ และมีส่วนร่วมในการพาทีมคว้าแชมป์มากแล้วทุกรายการ โดยเฉพาะ แชมป์ ลา ลีกา สเปน 3 สมัย ,ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 5 สมัย ไปจนถึงแชมป์สโมสรโลกอีก 4 สมัย
รองแชมป์โลกสู่ ‘บัลลงดอร์ 2018’
ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โมดริช พาทีม ‘ตราหมากรุก’ ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศขอ ซึ่งแม้จะพลาดท่าพ่ายต่อฝรั่งเศส 2 ประตู ต่อ 4 ได้เพียงแค่รองแชมป์ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นในบทบาทห้องเครื่องทีมชาติโครเอเชีย ก็ได้ทำให้เขาได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ ในฐานนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน
ขณะเดียวกันในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา คงยากที่หานักเตะสักหนึ่งคน ที่โดดเด่นเหนือซูเปอร์สตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทว่าย้อนไปในการประกาศรางวัล ‘บัลลงดอร์ ปี 2018’ ชื่อของโมดริช กลายเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่ใช่ทั้ง เมสซี่ และโรนัลโด้ ที่ครองใจกัปตันทีมและโค้ชทีมชาติ รวมถึงสื่อฟุตบอลทั่วโลกโหวตให้เป็นสุดยอดนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี
โดยในพิธีประกาศรางวัล บัลลงดอร์ 2018 โมดริช ได้รับคะแนนโหวตเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งสูงถึง 753 คะแนน ทิ้งห่าง โรนัลโด้ อันดับที่สองได้รับเสียงโหวต 478 คะแนน เกือบเท่าตัว ขณะเดียวกันยังเป็นนักเตะในตำแหน่งกองกลางที่ชนะโหวตคว้ารางวัลนี้ได้เป็นคนแรกในรอบ 11 ปี นับจาก ริคาร์โด้ กาก้า ในปี 2007 อีกด้วย
ทั้งนี้ไม่ว่าบทสรุปในฟุตบอลโลก 2022 ของทีมชาติโครเอเชียจะลงเอยเช่นไร แต่ผลงานจากรอบแรกมาจนถึงรอบน็อคเอาท์เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ไม่เพียงแค่ โมดริช จะเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโครเอเชียเท่านั้น แต่เขาคือหนึ่งในกองกลางทีดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะมาตรฐานการเล่นในวัย 37 ปี ที่ไม่ได้ตกลงไปเลยนับจากฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ลูก้า โมดริช
อายุ 37 ปี
ติดทีมชาติโครเอเชีย 160 นัด ยิง 23 ประตู
ลงเล่นทีมชาตินัดแรก 1 มีนาคม 2006 พบ อาร์เจนติน่า (กระชับมิตร)
ลงเล่นฟุตบอลโลก 4 สมัย
-ปี 2006
-ปี 2010
-ปี 2018
-ปี 2022
อายุ 37 ปี
ติดทีมชาติโครเอเชีย 160 นัด ยิง 23 ประตู
ลงเล่นทีมชาตินัดแรก 1 มีนาคม 2006 พบ อาร์เจนติน่า (กระชับมิตร)
ลงเล่นฟุตบอลโลก 4 สมัย
-ปี 2006
-ปี 2010
-ปี 2018
-ปี 2022