ความผิดหวังจากการชวดโชว์ฝีเท้าให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์สในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างบอลโลก 2018 และศึก ยูโร 2016 และ 2020 ยังเป็นสิ่งที่คาใจยอดปราการหลังอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นอย่างยิ่ง แพสชั่นที่ถูกสะสมไว้ในตัวเขาจะต้องถูกระบายพรั่งพรูออกมาในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะแชมป์เวิลด์คัพ นอกจากจะเป็นสิ่งที่กัปตันอย่างเขาใฝ่ฝันแล้ว ยังเป็นความฝันที่แฟนฟุตบอลชาวดัตช์คาใจและเฝ้ารอมานาน หลังจากที่เคยสร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงมาแล้วถึงสามสมัย แต่กลับเป็นฝ่ายพ่ายเรียบมาทุกครั้ง

ทัวร์นาเมนต์สำคัญครั้งแรกของฟาน ไดค์
ปราการหลังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเบอร์ต้นๆ ของโลกในปัจจุบันอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ นั้น ประสบความสำเร็จในระดับสโมสรกับต้นสังกัดอย่าง ลิเวอร์พูล มาแล้วครบทุกรางวัล ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก, เอฟ.เอ.คัพ, ลีกคัพ, ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก และ ฟุตบอลสโมสรโลก แต่กับทีมชาตินั้นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สูงสุดคือตำแหน่งรองแชมป์ ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ปี 2019 ซึ่งตัวเขาเองเป็นกัปตันทีมด้วยในนัดพ่ายแพ้ให้กับ โปรตุเกส ในรอบไฟนัล 0-1
ด้วยวัย 31 ปี เชื่อหรือไม่ว่านี่คือทัวร์นาเมนต์ใหญ่รวมทั้งฟุตบอลโลกหนแรกของ ฟาน ไดค์ เพราะตั้งแต่ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2015 เนเธอร์แลนด์ก็ดันไปตกรอบคัดเลือกเวิลด์คัพ 2018 ชวดไปเล่นรอบสุดท้ายที่รัสเซียและต่อมาร่วงในฟุตบอลยูโร 2020 ดังนั้นนี่คือเที่ยวแรกและอาจเป็นเที่ยวสุดท้ายด้วยอายุอานาม เขาจะต้องตั้งใจให้มากที่สุดเพราะไม่แน่ว่าจะมีโอกาสแก้ตัวอีกหรือไม่
ฟุตบอลโลกหนนี้ยังเป็นวาระสำคัญของ ฟาน ไดค์ ซึ่งติดทีมชาติไปแล้ว 49 เกม จึงทำให้มีโอกาสลงฉลองนัดที่ 50 ในเกมประเดิมรอบแบ่งกลุ่มกับ เซเนกัล วันที่ 21 พฤศจิกายน
ถึงเวลานี้ดูเหมือนความมั่นใจของยอดปราการหลังผู้นี้เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่สภาพร่างกายของเขากลับมาฟิตสมบูรณ์แบบเต็มสูบอีกครั้ง หลังจากอาการบาดเจ็บหนักเมื่อ 2 ปีก่อนในเกมพรีเมียร์ลีกกับเอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามทีมชาติเขาจะได้เล่นกับคู่ขาที่แข็งแกร่งอย่าง มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ ซึ่งเรียกฟอร์มเก่งกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีม ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิค ได้แล้วในช่วงนี้
ฟาน ไดค์ เปิดเผยหลังตัวเขาเองโหม่งประตูให้ทีมเอาชนะเบลเยี่ยม 1-0 ในเกมเนชั่นส์ลีก ล่าสุดว่า
“เราสามารถเอาชนะหนึ่งในยอดทีมของโลกอย่าง เบลเยี่ยม มาได้โดยไม่เสียประตู ทำให้พวกเราอยู่ในอารมณ์ที่มั่นใจสุดๆ และพร้อมสำหรับศึกฟุตบอลโลกหนนี้เป็นอย่างมาก เราพร้อมที่จะทุ่มเทและหวังว่านี่จะเป็นเวิลด์คัพที่พิเศษสุดสำหรับชาวดัตช์”

อาถรรพ์ของทีม ‘อัศวินสีส้ม’
ที่ผ่านมาในฟุตบอลโลกทั้ง 21 หน ทีม ‘กังหันสีส้ม’ เหมือนต้องคำสาปไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จเสียที แม้กระทั่งตอนฟอร์มพีคสุดที่มี โยฮัน ครอยฟ์ ‘นักเตะเทวดา’ อยู่ในทีม พวกเขาอวดอ้างลีลาล้ำยุคอย่าง ‘โททั่ล ฟุตบอล’ แต่สุดท้ายก็ได้เพียงตำแหน่งรองชนะเลิศ โดยพ่ายให้กับเจ้าภาพเยอรมันตะวันตกไปในนัดชิงชนะเลิศปี 1974
หลังจากนั้นอีก 4 ปี ‘ฟลายอิ้งดัตช์แมน’ เข้าถึงไฟนัลในเวิลด์คัพ 1978 แต่ก็พลาดให้กับทีม ‘เจ้าภาพ’ อีกครั้ง นั่นคือโดน อาร์เจนตินา หวดไป 1-3 ช่วงต่อเวลา ในฟุตบอลโลกที่ว่ากันว่าป่าเถื่อนและคดโกง โดยประเทศเจ้าภาพนั้นจัดการแข่งขันโดยการดูแลของรัฐบาลทหาร ที่ต้องการเรียกศรัทธาของประชาชนด้วยถ้วย ‘ฟีฟ่า เวิลด์คัพ’
เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ยังสามารถเข้าชิงฟุตบอลโลกได้อีกหนึ่งสมัยคือปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ คราวนี้ไม่ได้เจอเจ้าภาพ แต่ต้องเผชิญหน้ากับยอดทีมอย่าง สเปน ซึ่งมีดาวเด่นอยู่เต็มคาราเบลอย่าง ชาบี้ เอร์นานเดซ, ชาบี้ อลอนโซ่, อันเดรส อิเนียสต้า, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ดาวิด ซิลบา, ดาวิด บีญ่า ฯลฯ ทีมสีส้มจึงต้องพบกับความพ่ายแพ้ไปอีกหนด้วยสกอร์ 0-1 เท่ากับว่า เนเธอร์แลนด์ นั้นผิดหวังในรอบชิงฯ เป็นรองแชมป์มาแล้วถึง 3 สมัยด้วยกันจัดว่าเป็นทีมที่น่าเห็นใจที่สุด

แม้เที่ยวนี้พวกเขาจะไม่ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในตัวเต็ง แต่ด้วยการคุมทัพรอบ 3 ของยอดปรมาจารย์อย่าง หลุยส์ ฟาน กาล ซึ่งมีประสบการณ์ในเกมใหญ่อย่างล้นเหลือ รวมทั้งการมีนักเตะอย่าง ฟาน ไดค์ กับ มัทไธจ์ เดอ ลิกต์ส เป็นคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอันแข็งแกร่ง และกองกลางอย่าง แฟรงค์กี้ เดอ ยอง, ไรอัน กราเฟนแบร์ก กับ สตีเฟ่น เบิร์กฮุยส์ กองหน้า สตีเฟ่น เบิร์กไวน์, โคดี้ กัคโป, เมมฟิส เดอ ปาย หรือ ดอนเยล มาเล่น ทำให้พวกเขาอาจมีลุ้นไปสู่รอบลึกๆ ได้เหมือนกัน
ในรอบแรกนั้น เนเธอร์แลนด์ อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับเจ้าภาพ กาตาร์, เซเนกัล และ เอกวาดอร์ นี่เป็นโอกาสสำคัญที่กองหลังค่าตัวแพงอย่างเขาจะได้พิสูจน์ว่า ไม่ได้เก่งกาจเฉพาะในสโมสรกับลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่การพา ‘อัศวินสีส้ม’ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน
ในรอบแรกนั้น เนเธอร์แลนด์ อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับเจ้าภาพ กาตาร์, เซเนกัล และ เอกวาดอร์ นี่เป็นโอกาสสำคัญที่กองหลังค่าตัวแพงอย่างเขาจะได้พิสูจน์ว่า ไม่ได้เก่งกาจเฉพาะในสโมสรกับลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่การพา ‘อัศวินสีส้ม’ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน