อย่างที่หลายคนรู้กันว่าฟุตบอลโลก 2022 เพิ่งจะรูดม่านปิดฉากกันไปเมื่ออาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา โดยเรื่องราวในเวิลด์คัพอิดิชั่นนี้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบที่ ทีมชาติอาร์เจนตินา คว้าแชมป์ พร้อมกับส่ง เมสซี่ เป็นสุดยอดตำนานได้อย่างสวยงาม ซึ่งจบปุ๊บพักกันแค่แปปเดียวก็มีฟุตบอลรายการอื่นๆ กลับมาลงสนามให้ดูกันต่อแล้ว
หนึ่งในรายการที่แฟนบอลไทยรอคอยกันอยู่ก็คือศึก ‘เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คัพ 2022’ หรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ที่ทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ต้องลงสนามป้องกันแชมป์ในรอบนี้ สำหรับหนึ่งในนักฟุตบอลไทยที่หลายคนจับตามองในทัวร์นาเมนต์นี้ก็น่าจะเป็น ‘เซฟ’ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ แบ็กขวาจากสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ที่เพิ่งยิงประตูแรกกับทีมชาติไปในนัดที่พบกับ ทีมชาติฟิลิปปินส์
โดยฟอร์มการเล่นที่ดีวันดีคืนทำให้เจ้าตัวกลายเป็นตัวหลักทั้งในระดับสโมสรและระดับทีมชาติ จนแทบจะเรียกได้ว่าในเวลานี้เขาเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดในบ้านเรา แต่จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้สวยงาม เส้นทางฟุตบอลที่มีทุกวันนี้ได้ด้วยความมุมานะ และความพยายามของตัวเอง ฉายา ‘แบ็กขวาพลังม้า’ ได้มาจากไหน ชีวิตของ ‘เซฟ‘ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ เป็นยังไงบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลยครับ
หนึ่งในรายการที่แฟนบอลไทยรอคอยกันอยู่ก็คือศึก ‘เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คัพ 2022’ หรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ที่ทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ต้องลงสนามป้องกันแชมป์ในรอบนี้ สำหรับหนึ่งในนักฟุตบอลไทยที่หลายคนจับตามองในทัวร์นาเมนต์นี้ก็น่าจะเป็น ‘เซฟ’ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ แบ็กขวาจากสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ที่เพิ่งยิงประตูแรกกับทีมชาติไปในนัดที่พบกับ ทีมชาติฟิลิปปินส์
โดยฟอร์มการเล่นที่ดีวันดีคืนทำให้เจ้าตัวกลายเป็นตัวหลักทั้งในระดับสโมสรและระดับทีมชาติ จนแทบจะเรียกได้ว่าในเวลานี้เขาเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดในบ้านเรา แต่จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้สวยงาม เส้นทางฟุตบอลที่มีทุกวันนี้ได้ด้วยความมุมานะ และความพยายามของตัวเอง ฉายา ‘แบ็กขวาพลังม้า’ ได้มาจากไหน ชีวิตของ ‘เซฟ‘ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ เป็นยังไงบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลยครับ

บ้านเกิดอยู่ที่ไหน ชอบฟุตบอลตั้งแต่เด็กเลยไหม
เซฟ: เป็นคนจันทบุรีครับ ตอนแรกไม่ได้ชอบฟุตบอลเท่าไหร่ครับ แต่พ่อเคยเตะฟุตบอลมาก่อน ก็เลยพาเรามาเล่นเล่นฟุตบอลจริงจังตอนไหน
เซฟ: 8 ขวบครับ หลังจากพ่อให้เริ่มเล่นแล้วก็เป็นโค้ชให้ผมด้วย ก็เริ่มจริงจังมาตั้งแต่ตอนนั้นครับตอนนั้นมีไอดอลไหม
เซฟ: เหมือนจะชอบ ไมเคิล โอเว่น ครับ ตอนเด็กๆ ผมเล่นกองหน้า ชอบความที่เขาเป็นคนตัวเล็กเหมือนเรา แล้วก็เล่นตำแห่งเดียวกับเราตอนนั้น ยิงคมด้วย เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เล่นตำแห่งแบ็กมาตั้งแต่แรกตอนอายุ 12 เข้าไปที่ JMG Academy ได้ยังไง
เซฟ: พ่อครับเป็นคนพาเข้าไปคัดตัวกับ JMG (JMG คือโรงเรียนอคาเดมีสอนฟุตบอลที่มาจากฝรั่งเศส) ผมก็ไม่รู้ว่าแกไปได้ยินมาจากไหน ตอนนั้นเขาเปิดคัดทั่วประเทศ ซึ่งผมอยู่ภาคตะวันออก เขาก็มีเปิดคัดตัวที่ชลบุรี พอได้จากรอบทั่วประเทศแล้วก็มาเก็บตัวที่ชลบุรีเลยครับพอได้เข้าไปแล้ว การฝึกที่ JMG Academy ยากไหม
เซฟ: ตอนแรกก็ยากนะครับ เพราะเขาให้เราเริ่มฝึกด้วยการใช้เท้าเปล่าเตะ หัดเดาะบอล พื้นฐานต่างๆ ให้เราคุ้นเคยกับลูกฟุตบอล ใช้เวลา 3 ปีกับการฝึกเท้าเปล่าตลอดเช้าเย็น มันก็ทำให้เราคุ้นเคยกับลูกฟุตบอล ได้ทักษะและเทคนิคพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นครับยุคนั้นมีนักฟุตบอลคนไหนที่อยู่ด้วยกันใน JMG บ้าง
เซฟ: ก็มี วีระวุฒิ กาเหย็ม, วรนาถ ทองเครือ, ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกูล, สันติภาพ ราษฎร์นิยม, อดิศักดิ์ กลิ่นโกสุมภ์ แล้วก็มีอีกหลายคนครับที่อยู่รุ่นเดียวกัน ส่วนรุ่นน้องก็มี พิชา อุทรา, พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์, สุริยา สิงห์มุ้ย ประมาณนี้ครับ
แล้วตอนอายุ 17 เข้ามาอยู่กับเมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ยังไง
เซฟ: ก็ตอนนั้นทาง JMG เขาจะเอาเด็กเก่งๆ ที่มีแววไปอยู่กับเมืองทองฯ แต่ตัวผมไปที่ภูเก็ตก่อน เพราะเราอาจจะไม่ได้เก่งถึงกลุ่มที่ไปเมืองทองฯ ซึ่งพอผมไปที่ภูเก็ต เขาก็บอกว่าเรายังเด็ก กระดูกยังไม่ถึง ผมก็เลยกลับมาซ้อมเองที่บ้านที่จันทบุรีก่อน จนสุดท้าย ‘โค้ชปื๊ด’ สุเมธ กิตติพรประชา ที่เคยสอนที่ JMG แล้วมาอยู่กับเมืองทองฯ ก็เรียกผมให้เข้าไปคัดตัวกับทีมตอนนั้นคัดตัวยากไหม และมีคนมาคัดเยอะไหม
เซฟ: เขาก็จะให้เราอยู่ฝึกซ้อมหลายๆ อย่าง แล้วก็จะค่อยๆ ดูว่าโอเคไหม ไปต่อได้ไหม ถ้าไม่โอเคก็จะคัดออก ซึ่งคนที่มารุ่นผมก็มากันเยอะมาก ตัวผมเองก็โชคดีที่ถูกเลือก เพราะเมืองทองฯ ก็เป็นสโมสรที่ท็อปมากๆ ในยุคนั้นพอได้เข้าไปอยู่เมืองทอง ยูไนเต็ด ยากไหม เพราะไม่ได้ลงสนามเลย
เซฟ: ยากนะครับ ผมเซ็นสัญญาประมาณ 4-5 ปี ในฐานะเยาวชน การได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ยากมาก พอเราอายุประมาณ 20 ปี ก็โดนปล่อยยืมตัวไปอยู่กับ แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด ใน T2 เป็นยุคที่พ่อพี่มุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา ทำอยู่ ซึ่งตอนไปแอร์ฟอร์ซฯ ผมก็ต้องไปคัดตัวอีกรอบนะ (หัวเราะ) ไปอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ ก็เกือบหลุดเหมือนกัน ติดคนสุดท้ายพอดี ก็เลยได้อยู่แอร์ฟอร์ซฯ ครึ่งฤดูกาลครับหลังจากอยู่ที่แอร์ฟอร์ซฯ แล้วไปอยู่ทีมไหนมาอีกบ้าง
เซฟ: ก็ไป นครนายก เอฟซี, จันทบุรี เอฟซี ซึ่งที่นครนายกฯ คือจุดเริ่มต้นที่ผมได้เริ่มเล่นตำแหน่งแบ็กขวาด้วย เพราะตอนอยู่แอร์ฟอร์ซฯ นี่เล่นเป็นหน้าต่ำ ส่วนที่จันทบุรีฯ ก็เล่นกองกลางบ้าง ปีกบ้าง (หัวเราะ)ตอนที่ได้เล่นตำแหน่งแบ็กขวาครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: ตอนแรกก็รู้สึกท้าทายนะครับ แต่ผมเองก็ดีใจที่ได้ลงสนาม เพราะเรายังเด็กอยู่ก็ไม่ค่อยได้ลงตัวจริงเท่าไหร่ ก็รู้สึกดีใจที่โค้ชเขาให้โอกาส เห็นความตั้งใจของเราที่พยายามซ้อม
ตอนนั้นทำไมได้ไปเล่นตำแหน่งแบ็กขวา
เซฟ: ใช่ครับ ตัวจริงเขาก็เจ็บ (หัวเราะ) ไม่พร้อมลงสนาม แล้วตอนนั้นเวลาโค้ชเรียกใครไปหา ส่วนใหญ่ก็คือเรียกไปบอกว่าไม่เก็บไว้ ซึ่งเพื่อนผมสองสามคนโดนเรียกไปแล้วเป็นแบบนั้นหมดเลย ทีนี้โค้ชเขาก็เรียกผมไป ผมก็คิดในใจแล้วว่า “เห้ย กูโดนแน่เลยว่ะ” (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเขาเรียกไปเพื่อที่จะบอกว่าให้เราลงเล่นตำแห่งแบ็กขวานะ ผมก็โล่งเลย นึกว่าจะต้องไปแล้วปรับตัวยากไหมกับตำแหน่งใหม่
เซฟ: ยากครับ เพราะมันไม่ชินเลย ช่วงแรกเราก็จะงงๆ นิดหน่อย แต่พอสักพักเราปรับตัวได้มันก็จะไปได้ของมันเอง อย่างตอนแรกที่ได้โอกาสแล้วเราทำประตูได้เลยได้เล่นยาวเลย เป็นจุดเริ่มต้นของการเล่นแบ็กขวาเลยครับย้ายทีมทุกปี จนไม่ได้ลงเล่นกับเมืองทองฯ เลย รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: ไม่ได้เซ็งหรือรู้สึกแย่อะไรมากนะครับ มันแน่นอนแหละว่าเราอยากขึ้นไปเล่นชุดใหญ่เมืองทองฯ แต่ตอนนั้นก็รู้ตัวเองว่าศักยภาพยังไม่ถึง เขาปล่อยไปที่ไหนก็พยายามทำให้เต็มที่ก่อนครับพอไปอยู่ พัทยา ยูไนเต็ด อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เล่นดีขึ้นมากๆ
เซฟ: ตอนอยู่ที่พัทยาฯ พวกเพื่อนๆ น้องๆ ที่เล่นด้วยกันมานานแล้วได้ไปอยู่ด้วยกัน เวลาลงเล่นมันก็สนุก ช่วยกันเล่นตลอด ทำให้เรามีความสุข บวกกับสนามพัทยาฯ ที่แฟนบอลจะซัพพอร์ตเราตลอด แล้วก็พวกการฝึกซ้อมที่ช่วยได้เยอะขึ้น ทุกคนในทีมก็มีแต่คนฝีเท้าดีๆ มันก็ช่วยพัฒนาตัวเราและยกระดับทีมได้ครับตอนได้กลับมาอยู่เมืองทองฯ รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: รู้สึกดีใจครับที่เราจะได้เล่นให้ชุดใหญ่เมืองทองฯ สักที หลังจากตอนเด็กอยู่มาตั้งนานแล้วไม่ได้ลงเล่นเลย
ช่วงแรกที่โดนวิจารณ์เยอะ รู้สึกแย่ไหม
เซฟ: ก็รู้สึกดาวน์ รู้สึกแย่ครับ แล้วด้วยฟอร์มเราที่ก็รู้ตัวเองว่าดร็อปลงมาค่อนข้างเยอะจากตอนอยู่พัทยาฯ ก็มานั่งนึกเลยว่าทำไมเราฟอร์มดร็อปมาเยอะขนาดนี้จนความมั่นใจมันหายไปเยอะ นั่งคิดถึงช่วงที่เราเล่นดีๆ ว่าเป็นเพราะอะไร แล้วก็คิดอยู่ตลอดว่าจะต้องเอาตัวเองกลับมาให้ได้คิดว่าที่ฟอร์มไม่ดีเป็นเพราะภาพรวมของทีม หรือเป็นแค่ที่ตัวเอง
เซฟ: คิดว่าเป็นที่ฟอร์มส่วนตัวก่อน แล้วค่อยมาคิดที่องค์ประกอบทีม คือมันก็หลายๆ อย่างรวมกันครับ ซึ่งตอนนั้นเราก็ย้ายมาเล่นทีมใหญ่ครั้งแรก มันก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องปรับตัวยังไง ควรจะเล่นรูปแบบไหนพอจบฤดูกาลแล้วไม่ได้ไปต่อ ต้องกลับไปอยู่กับสมุทรปราการ คิดหรือรู้สึกไหมว่าทำไมไม่ได้ไปต่อกับทีม
เซฟ: ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายมากขนาดนั้นครับ เพราะคิดว่าอย่างน้อยเราก็ได้มีโอกาสมาเล่นที่เมืองทองฯ แล้ว และเราก็มีสัญญากับที่สมุทรปราการอยู่ด้วยกลับไปอยู่สมุทรปราการในฐานะผู้นำหรือรุ่นพี่ในทีม รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: แน่นอนว่าความคิดเรามันก็โตขึ้น มีความเป็นผู้นำ รูปแบบและวิธีการเล่นของเรามันก็จะละเอียดขึ้นครับกลับมาแล้วทำสีผมเยอะขึ้น เริ่มมาได้ยังไง
เซฟ: สีผมพอทำแล้วมันก็ชอบอะไรแบบนี้ครับ (หัวเราะ) พอติดแล้วเราก็อยากทำเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละสีก็มีที่มาด้วยนะ เพราะผมชอบดูพวกการ์ตูน อย่างสีส้มก็มาจากเรื่อง บลีช ครับ
ปีที่ทีมเริ่มดร็อปลง มันเป็นเพราะอะไร
เซฟ: ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะนักเตะที่อยู่กับทีมมานาน เริ่มทยอยย้ายออกกันไปเยอะ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมมันทรุดลงครับในวันที่โตขึ้นที่สมุทรปราการ พอฟอร์มไม่ดีมีวิธีรับมือยังไง
เซฟ: ผมก็พยายามบอกและกระตุ้นตัวเองว่าต้องลงสนามไปแล้วทำให้เต็มที่ที่สุด เพราะอีกไม่กี่ปีเราก็เลิกเล่นแล้ว เราต้องใส่เต็มที่ทุกนัด ผลจะออกมาแพ้หรือชนะก็เป็นอีกเรื่อง แต่เราขอทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนครับร่วมงานกับโค้ชอิชิอิ รู้สึกว่าโค้ชญี่ปุ่นเข้มงวดไหม ต่างจากโค้ชเกาหลีตอนอยู่เมืองทองฯ ขนาดไหน
เซฟ: สำหรับเกาหลีเขาก็เน้นสไตล์ซ้อมนาน ซ้อมหนัก ใช้พละกำลัง แต่ฝั่งญี่ปุ่นเขาก็จะไม่นานเท่า เน้นสั้นๆ แต่ว่าเต็มที่เข้มข้นในสนามหลังจากได้ร่วมงานกับโค้ชญี่ปุ่นเก่งๆ ได้ซึมซับอะไรมาปรับใช้กับตัวเองบ้าง
เซฟ: ได้หลายเรื่องครับ ทั้งเรื่องความคิด ความเขี้ยว วิสัยทัศน์ในสนาม ระเบียบวินัยในการเล่นนี่ก็สำคัญมาก สมมุติเวลาขึ้นไปบุก ถ้าเสียบอลปุ๊บต้องคิดก่อนเลยว่าเราต้องสปีดกลับตำแหน่ง ถ้ามีเพื่อนอยู่ในแดนบนหลายๆ คน เสียก็ไล่เลย แต่ถ้าไล่ไม่ได้ก็วิ่งกลับตำแหน่งเลยตอนนั้นถ้าแกนหลักยังอยู่ครบบวกกับฝีมือโค้ชอิชิอิ คิดว่าทีมจะตกชั้นไหม
เซฟ: ไม่มีทางตกชั้นแน่นอนครับ ยังไงก็น่าจะติดท็อป 5-6 คือได้อยู่ครึ่งบนของตารางแน่ๆพอฟอร์มดีมากๆ จนเริ่มมีชื่อว่ามีโอกาสติดทีมชาติไทย รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: แค่มีชื่อหลุดมาในชุดแรกก็ดีใจมากๆ แล้วนะครับ เพราะเราก็พยายามฝึกซ้อมให้หนักมาตลอด ทำผลงานในสนามให้ดี เพื่อให้มีโอกาสติดทีมชาติไทยตามความฝันของตัวเอง พอมีชื่อมันก็เข้าใกล้ไปอีกสเต็ป จนสุดท้ายได้ติดทีมชาติจริงๆ เราก็ดีใจมากๆ ครับพอได้อยู่ในแคมป์ทีมชาติ สิ่งที่เราฝันมาตลอดมันเป็นยังไงบ้าง
เซฟ: รู้สึกภูมิใจแล้วก็ดีใจมากครับ อยากจะกลับไปเล่นอีก บรรยากาศมันก็จะต่างจากสโมสรหน่อย เพราะพอไปทีมชาติมันก็เหมือนเราได้ไปรับใช้ชาติ เป็นช่วงเวลาที่เราภูมิใจมากๆ อย่างที่บ้านแบบคุณพ่อแกก็ดีใจที่เราติด ก็คอยบอกตลอดว่าพยายามให้เต็มที่ เพราะโอกาสมาถึงเราแล้ว
จากสมุทรปราการสู่ การท่าเรือ เอฟซี รู้สึกยังไงบ้างที่ได้มาที่นี่
เซฟ: รู้สึกดีใจครับ ท่าเรือฯ ก็เป็นสโมสรใหญ่อีกทีมของไทย แต่ก็รู้สึกกดดันไปด้วยเหมือนกัน เพราะทีมใหญ่ล่าสุดที่เราได้เล่นก็คือเมืองทองฯนอกจากท่าเรือฯ ก็มีทีมอื่นที่ติดต่อมา ทำไมถึงเลือกที่นี่
เซฟ: จริงๆ ผมก็เคยอยากมาท่าเรือฯ อยู่แล้ว พอสโมสรเขาคุยกันลงตัว รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่นี่แล้วครับ ด้วยความที่เขาจริงจังกับการอยากได้ตัวเรามากๆ ด้วยบรรยากาศตอนลงเล่นเป็นนักเตะฝั่งตรงข้าม กับ เป็นนักเตะท่าเรือฯ ต่างกันมากไหม
เซฟ: คนละฟีลเลยครับ มาเยือนนี่คือขนลุกเลย ไม่รู้เขาโกรธอะไรผมมา (หัวเราะ) ยิ่งวันไหนย้อมสีผมมานี่เป็นเป้าเลย แบบพูดมาว่า “อะไรไปเข้าฝันมึงเนี่ย” (หัวเราะ) พอเรากลายเป็นนักเตะที่นี่มันได้อีกอารมณ์เลย เราจะรู้สึกมีแรงฮึด หึกเหิมอยู่ตลอดเวลา คือเล่นแล้วแทบไม่รู้สึกเหนื่อย กระตุ้นเราอยู่ตลอด เล่นที่นี่คือสนุกมากครับความรู้สึกตอนยิงประตูแรกให้ทีม ทำไมวันนั้นถึงสะใจมากๆ
เซฟ: ก่อนหน้านั้นในเกมคือทีมตามเทโรฯ อยู่ พอทีมกลับมาได้ แล้วประตูที่เรายิงได้มันเป็นประตูขึ้นนำให้ทีมด้วย มันก็เลยดีใจมากๆ เพราะปกติผมก็ดีใจแนวนี้อยู่แล้ว ก็เป็นอารมณ์ร่วมในเกมด้วยครับเพื่อนร่วมทีมตอนนี้เป็นยังบ้าง
เซฟ: นักเตะในทีมมีคุณภาพมากทุกคนครับ เก่งทุกคนเลย ผมก็พยายามปรับตัวเข้าหาทีม ดูว่าคนนั้นคนนี้เล่นยังไง เราก็ปรับตัวเข้าหาเขา เริ่มมีประสบการณ์จากเมืองทองฯ มา พอมานี่เราก็ต้องปรับตัวกับทีมมากขึ้น ต้องคอยซัพพอร์ตทุกคนครับ
แล้วตอนนี้สนิทกับใครในทีมบ้าง
เซฟ: ก็สนิทหลายคนนะครับ โดม (บดินทร์ ผาลา), บาส (ปกรณ์ เปรมภักดิ์), ตั้ม (ธนบูรณ์ เกษารัตน์) อย่างก่อนมาที่นี่ผมก็เคยเล่นกับบาสในทีมชาติมา ส่วนคนอื่นก็ยังไม่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนครับความคาดหวังกับการมาอยู่กับท่าเรือฯ
เซฟ: สำหรับตัวผมก็แน่นอนครับว่าอยากเป็นแชมป์ไทยลีกกับที่นี่ แต่ผมก็รู้ว่ามันก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาตัวเราเองด้วย ทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วเดี๋ยวทีมก็จะดีตามเอง ถ้าทุกคนทำผลงานได้ดีกลับมาที่พาร์ททีมชาติในนัดเจอ เติร์กเมนิสถาน ที่เล่นท็อปฟอร์มมากจนคนชมเยอะและรู้จักมากขึ้น รู้สึกยังไงบ้าง
เซฟ: นัดนั้นก็เป็น 90 นาทีแรกของผมกับทีมชาติครับ ตอนแรกก็รู้สึกกดดันมาก เพราะคนทั้งประเทศดูอยู่ แต่เราก็คิดว่าโอกาสมันมาแล้ว มีอะไรเราก็ใส่ให้หมด พอสุดท้ายผลลัพธ์มันออกมาดีมาก จริงๆ ก็ไม่คิดว่าจะมีคนชม คือทีมชนะมันก็โอเคแล้ว พอมีคนชมเราก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองทำได้ดีตอนไป เอเชียนคัพ รอบคัดเลือก ยากไหม
เซฟ: สองนัดแรกผมคิดว่าไม่ยากมากครับ แต่พอนัดที่เราเจอเจ้าภาพ อุซเบกิสถาน คิดว่าเจอของจริงมากๆ ด้วยวิธีการเล่นของเขา มีระบบการเล่นที่ดีไม่พอ เขายังเร็วด้วย ไหนจะพละกำลังความแข็งแรงของเขาอีก ผมก็คิดว่าพวกเราต้องแข็งแรงได้มากกว่านี้ เร็วกว่านี้ พอไปเจอระดับนั้นมาผมก็ต้องกลับมาพัฒนาตัวเองให้แข็งแรงและเร็วขึ้น เพื่อให้ครั้งต่อๆ ไปมันดีขึ้นบรรยากาศใน คิงส์คัพ ที่เชียงใหม่เป็นยังไงบ้าง
เซฟ: ตอนติดทีมไปก็รู้สึกดีครับ แต่ตอนที่เราแพ้จุดโทษ มาเลเซีย มันก็รู้สึกผิดหวังที่เราเข้าชิงไม่ได้ เสียใจด้วย แต่สุดท้ายเราก็ต้องลืมความเสียใจไปก่อน เพราะมันก็มีนัดชิงที่สามรออยู่ เราก็ต้องโฟกัสข้างหน้าต่อครับการเจอ ทีมชาติตรินิแดดฯ เป็นยังไงบ้าง
เซฟ: คือเขาเป็นทีมที่ออกสไตล์บอลแอฟริกาเลยครับ มีจุดเด่นทั้งความแข็งแรงและก็ความเร็ว แต่ระบบหรือเทคนิคต่างๆ ผมคิดว่าสู้ทีมไทยไม่ได้พูดถึงเรื่องพละกำลัง อะไรเป็นจุดเด่นที่ทำให้เราวิ่งไม่มีหมด
เซฟ: ผมก็พยายามดูแลร่างกายตัวเองก่อน บวกกับตัวเราก็มีประสบการณ์เจอชาติอื่นๆ ตอนไปเล่นทีมชาติมา ก็จะพยายามกลับมาพัฒนาอยู่ตลอดว่า เราต้องแข็งแรงกว่านี้ ฟิตกว่านี้ แล้วก็มีเสริมพวกฟิตเนสบ้างอะไรแบบนี้ครับความฝันของตัวเองตอนนี้ยังมองถึงการออกไปเล่นต่างประเทศบ้างไหม
เซฟ: คือผมคิดว่าด้วยอายุผมตอนนี้ออกไปเล่นต่างประเทศมันก็ค่อนข้างช้าไปแล้วเหมือนกันนะ ตอนนี้ก็เลยโฟกัสผลงานกับปัจจุบันมากกว่าทั้งกับสโมสรและทีมชาติไทย อยากประสบความสำเร็จกับปัจจุบันมากกว่า ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสมาจริงๆ ก็ค่อยว่ากันอีกทีครับ