20 เหตุการณ์ที่โลกจำได้ไม่ลืมในเวิลด์คัพ

17 พ.ย. 2565 - 03:39

  • รวมเรื่องราว 20 เหตุการณ์จากมหกรรมฟุตบอลโลกที่คนทั้งโลกจดจำได้ไม่เคยลืมเพื่อตอกย้ำว่านี่คือการแข่งขันครั้งนี้มีมากกว่าชัยชนะ และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ SPACEBAR รวบรวมมาให้ทุกคนได้อ่านกัน

Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Main
การแข่งขันฟุตบอลโลกสมัยที่ 22 จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน และ มีคู่เปิดสนามเป็นเจ้าภาพ กาตาร์ พบกับ เอกวาดอร์ โดยจะทำการแข่งขันกันในเวลา 23.00 น. (ตามเวลาในประเทศไทยที่เร็วกว่ากาตาร์ 4 ชั่วโมง)

ด้วยความที่เป็นมหกรรมลูกหนังระดับโลกและจัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1930 ทำให้มีเรื่องราว และ สถิติจากการแข่งขันที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกมากมาย บรรทัดต่อจากนี้คือการยกเอา 20 เหตุการณ์จากฟุตบอลโลกที่โลกไม่เคยลืมเพื่อตอกย้ำว่านี่คือการแข่งขันที่มีมากกว่าชัยชนะ
 

1. ดิเอโก้ มาราโดน่า กับลูกยิงที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดในฟุตบอลโลก จากเกมที่อาร์เจนตินา พบ อังกฤษปี 1986


จากลูกที่ถูกเรียกว่า ‘หัตถ์พระเจ้า’ ของดิเอโก้ มาราโดน่าทำให้ทีมอาร์เจนตินา ขึ้นนำทีมชาติอังกฤษไปก่อนในช่วงเวลานั้น มาราโดน่า ถูกมองว่าเป็น ‘จอมโกง’ แต่หลังจากนั้น มาราโดน่า ก็กลายเป็นฮีโร่ ที่ทำประตูชัยให้กับอาร์เจนตินา เป็นประตูที่ถูกจารึกเอาไว้ว่า ‘นี่คือลูกยิงที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลก’ จากการเลี้ยงหลบกองหลังอังกฤษจากครึ่งสนามขึ้นไปยิงประตูชนิดที่ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารทีมสิงโตคำรามได้แต่ยืนมอง และกลายเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่โลกลูกหนังต้องจดจำ
 

2. กอร์ดอน แบงค์ส สุดยอดนายทวาร ที่ถูกยกให้เป็น ‘ซูเปอร์เซฟ แห่งศตวรรษ’ ในฟุตบอลโลก 1970


ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มของฟุตบอลโลก 1970 ทีมชาติอังกฤษอยู่ในกลุ่มเดียว บราซิล โดยที่ทีมสิงโตคำรามมีผู้รักษาประตูที่ชื่อ กอร์ดอน แบงค์ส และกลายเป็นผู้รักษาประตูที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดในรอบศตวรรษ ของวงการลูกหนัง

ในเกมการแข่งขันที่ อังกฤษ ยังเสมอกับ บราซิล ที่ 0-0 ช่วงเวลาที่บราซิล บุกหนัง และผู้เล่นของบราซิล โยนบอลเพื่อให้เปเล่ ที่หลุดจากกองหลังอังกฤษกระโดดขึ้นโหม่งทางฝั่งขวาของประตู แต่กอร์ดอน แบงค์ส ที่สายตาจับอยู่ที่ลูกบอลตลอด สามารถพุ่งเซฟลูกโหม่งของเปเล่ ให้ข้ามคานออกไปได้ด้วยปฏิกริยาที่รวดเร็วเหลือเชื่อ แม้ว่าท้ายที่สุด อังกฤษ จะพ่ายให้กับ บราซิล ไป 0-1 แต่ลูกเซฟของ กอร์ดอน แบงค์ส ยังถูกกล่าวขานนานเท่านาน
 

3. ฮาราลด์ ชูมัคเกอร์ ผู้รักษาประตูสุดโหดของเยอรมนีในฟุตบอลโลก 1982


การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1982 การพบกันระหว่าง เยอรมนี และ ฝรั่งเศสในยุคที่ มิเชล พลาตินี่ ยังทำหน้าที่กัปตันทีม นับเป็นแมทช์ที่เดือดของการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนั้น จากเกมที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสกอร์ยังเสมอกันที่ 1-1 แล้วตัวสำรองของฝรั่งเศส พาทริค บาต์ติสตอง หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮาราลด์ ชูมัคเกอร์ ผู้รักษาประตูฝรั่งเศสวิ่งเข้าไปชาร์จ ทำให้ บาต์ติสตอง ที่ถูกปะทะเข้าอย่างแรงถึงกับสลบ ทว่าไม่มีการลงโทษนายทวารเยอรมัน หรือให้จุดโทษแก่ทีมฝรั่งเศส จนกระทั่งมีการรีเพลย์ภาพทำให้เห็นว่า ฮาราลด์ ชูมัคเกอร์ นั้นตั้งใจวิ่งเข้าไปปะทะกับ บาต์ติสตอง จนทำให้ผู้เล่นฝรั่งเศสต้องถูกหามออกนอกสนาม
 

4. การฉลองประตูชัยของ มาร์โก ทาร์เดลลี่ ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1982


ทำไมเหตุการณ์ฉลองชัยถึงได้กลายเป็นช่วงเวลาอันน่าจดจำจากฟุตบอลโลก คำตอบคือ การแข่งขันฟุตบอลโลกนั้นเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ทั้งนักฟุตบอลและแฟนบอลทั่วโลกจะมีความรู้สึกร่วมกันทั้งในและนอกสนามในหลากหลายห้วงอารมณ์ แต่สำหรับการฉลองชัยของ มาร์โก ทาร์เดลลี่ นักฟุตบอลทีมชาติอิตาลีนั้นถูกยกให้เป็นการแสดงอารมณ์ แห่งความสุขอย่างสุดขั้ว หลังจากที่ทำประตูให้ทีมอิตาลีขึ้นนำเยอรมนีตะวันตก (ในเวลานั้น) 2-0

จากนั้นมาร์โก้ แสดงความดีใจที่สร้างภาพจำให้กับตัวเขามาจนปัจจุบัน ด้วยการวิ่งไปยังม้านั่งสำรองของทีมชาติอิตาลี พร้อมกับร้องตะโกน และร่ำไห้ออกมาในเวลาเดียวกัน ทั้งที่การแข่งขันยังไม่จบ แต่มาร์โก ก็ออกอาการเหมือนอิตาลีได้แชมป์ฟุตบอลโลกแล้ว ซึ่งหลังจากนั้น เยอรมนีตะวันตก ทำประตูตามมาได้ แต่ท้ายที่สุดก็แพ้อิตาลีไป 3-1 ประตู และทำให้อิตาลีครองแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/246AK30duJYhTHFMTmfaBV/127647a5fd5384bc50bed896174235fb/Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Photo01
Photo: ดิเอโก้ มาราโดน่า จุมพิตถ้วยฟุตบอลโลก ปี 1986

5.‘หัตถ์พระเจ้า’ ของดิเอโก้ มาราโดน่า ในฟุตบอลโลก 1986


แม้ว่าการเลี้ยงหลบผู้เล่นครึ่งสนามเพื่อขึ้นไปยิงประตูทีมชาติอังกฤษในแมทช์เดียวกันนี้จะถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดการทำประตู่ของฟุตบอลโลก แต่หัตถ์พระเจ้าของดิเอโก้ มาราโดน่า ก่อนหน้าที่จะทำประตูนี้ ยังคงเป็นเรื่องอื้อฉาวตราบจนปัจจุบัน และกลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจแฟนบอลอังกฤษ นักฟุตบอลอังกฤษ โดยเฉพาะปีเตอร์ ชิลตัน นายประตูทีมชาติอังกฤษ ในเวลานั้นที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและเห็นชัดว่ามาราโดน่า นั้นกระโดดหาลูกก่อน และพยายามใช้มือก่อนใช้ศีรษะโหม่ง และทำให้ลูกเข้าประตูไป

ถึงขนาดที่ผู้เล่นทีมชาติอังกฤษจะพยายามประท้วงกรรมการแต่กลับไม่ได้ผล เพราะผู้ตัดสินไม่เห็นเหตุการณ์ และในเวลานั้นยังไม่มี VAR ภายหลังมาราโดน่า ไม่ได้ยอมรับว่าเขาใช้มือชกลูกบอลเข้าประตู หากแต่กล่าวว่า เป็น ‘Hand of God’ หรือ หัตถ์ของพระเจ้าที่ทำให้ลูกดังกล่าวเข้าประตูไป และกลายเป็นประตูที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในเกม อันทำให้อาร์เจนตินา ชนะ อังกฤษในรอบรองชนะเลิศ และ เข้าไปพบกับเยอรมนีตะวันตก (ในเวลานั้น) ในรอบชิงชนะเลิศ
 

6. อาร์ชี่ เกมมิลล์ กับประตูสุดมหัศจรรย์ในฟุตบอลโลกปี 1978


ประตูของ อาร์ชี่ เกมมิลล์ ถูกยกให้เป็นการทำประตูสุดมหัศจรรย์ของฟุตบอลโลก ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ เกมมิลล์ ในการทำประตูให้กับทีมชาติสกอตแลนด์ ที่พบกับ ทีมกังหันสีส้ม ในปี 1978 การแข่งขันในนัดดังกล่าวทีมชาติเนเธอร์แลนด์ (ในเวลานั้นใช้ฮอลแลนด์) มาพร้อมกับแทคติกการเล่นแบบ ‘Total Football’ ขณะที่ เกมมิลล์ นักเตะชาวสกอตแลนด์ใช้ลีลาลากเลื้อย ผ่านกองหลังก่อนจะชิพลูกบอลเข้าไปตุงตาข่าย และทำให้สกอตแลนด์ขึ้นนำ 3-1 และต่อมาแม้ ‘กังหันสีส้ม’ ตามมาตีตื้นเป็น 2-3 ประตู หากท้ายที่สุดทีมวิสกี้เอาชนะเนเธอร์แลนด์ไปได้แบบพลิกความคาดหมายในรอบแบ่งกลุ่ม แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังตกรอบแรกฟุตบอลโลก ขณะที่ เนเธอร์แลนด์ นั้นไปถึงรอบชิงชนะเลิศ
 

7. ทีมชาติคูเวตเดินออกจากสนามก่อนกรรมการจะเป่าหมดเวลา ในปี 1982


ในการแข่งขันฟุตบอลโลกแต่ละสมัยนั้นมีเหตุการณ์แปลกประหลาด ให้ผู้ชมได้เลิกคิ้วแปลกใจกันอยู่บ่อยๆ แต่เหตุการณ์ในเกมระหว่าง คูเวต และ ฝรั่งเศส ฟุตบอลโลกปี 1982 นั้น น่าจะทำให้หลายคนที่อยู่ให้เหตุการณ์ ร้องโอ๊ย! ออกมา

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นนาทีที่ 90 คู่หว่าง คูเวต และ ฝรั่งเศส ขณะที่ฝรั่งเศสขึ้นนำอยู่ 3-1 และฝรั่งเศสกำลังได้ประตูที่ 4 ในระหว่างที่กองหน้าฝรั่งเศสกำลังวิ่งเข้าเขตโทษนั้นดันมีเสียงนกหวีดดังขึ้น ทำให้กองหลังคูเวต หยุดการเล่นขณะที่กองหน้าฝรั่งเศสวิ่งเข้าไปทำประตูที่ 4 ได้สำเร็จ เหตุการณ์ดังกล่าวนักฟุตบอลคูเวต พยายามจะประท้วงแต่กรรมการบอกว่าได้ทำสัญญานมือแล้วว่าให้เล่นต่อ ขณะที่ นายกสมาคมฟุตบอลคูเวตส่งสัญญานให้นักฟุตบอลเดินออกจากสนามแข่งขันเพื่อประท้วงคำตัดสินของกรรมการ แต่ท้ายที่สุดการแข่งขันดำเนินต่อไป และผลการแข่งขันฝรั่งเศสชนะคูเวตไป 4-1 ประตู
 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5IKHB1Tm2rKuTpDsKoqFHF/3cbd59a9746292a5ab96a02c074c627f/Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Photo02
Photo: ลีลา พอล แกสคอยน์ หรือ 'แกสซ่า' ในฟุตบอลโลก ปี 1990

8. น้ำตาของ พอล แกสคอยน์ (แกสซ่า) ฟุตบอลโลกปี 1990


พอล แกสคอย นักฟุตบอลชื่อดังของอังกฤษ มีภาพจำในฟุตบอลโลกที่คนไม่ลืมในการแข่งขันปี 1990 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพ ในครั้งนั้นทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบรองชนะเลิศไปพบกับเยอรมนีตะวันตก (ในเวลานั้น) ซึ่งเกมดังกล่าวดำเนินไปอย่างดุเดือดและ พอล แกสคอยน์ ในตำแหน่งกองกลางทีมชาติอังกฤษ ชุดนั้นทำฟาวล์ผู้เล่นเยอรมนีจนถูกใบเหลืองที่ 2 ในทัวร์นาเมนต์ มีผลต่อเนื่องหากอังกฤษเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศจะทำให้ ‘แกสซ่า’ ไม่ได้ลงสนาม ทำให้ พอล แกสคอยน์ ต้องหลั่งน้ำตาออกมา

หากในท้ายที่สุดทีมสิงโตคำรามก็ไปไม่ถึงรอบชิง หลังสกอร์เสมอกับเยอรมัน 1-1 และต้องตัดสินด้วยจุดโทษ ซึ่งทีมอินทรีเหล็กแม่นยำกว่า และทำให้ ‘สิงโตคำราม’ ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6V777rLkwfrfuNNRiDZjuD/d06e73f16e02e7cd4dc5af4a0824f708/Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Photo03
Photo: โรเจอร์ มิลล่า นักเตะทีมชาติคาเมรูนแย่งบอลจากนายทวาร เรเน่ ฮิกิต้า ก่อนจะควบเข้าไปยิงประตู

9. ลีลาฉลองการยิงประตูของโรเจอร์ มิลล่า ในนัดที่เจอกับโคลัมเบีย 1990


นายทวารของโคลัมเบีย เรเน่ ฮิกิต้า เป็นที่จดจำจากฟุตบอลโลกด้วยลีลาการเซฟสุดเร้าใจ ทรงผมและการแต่งตัวเพื่อให้เป็นที่จดจำ แต่การโชว์ออฟที่มากเกินไปของ ฮิกิต้า ทำให้เขาพลาดเสียประตูง่ายๆ ให้กับ โรเจอร์ มิลล่า เมื่อพยายามจะออกมาปิดมุมไม่ให้ โรเจอร์ มิลล่า ที่หลุดเดี่ยวมายิงได้ถนัด แต่ มิลล่า กลับยิงข้ามหัวนายทวารสุดเปรี้ยว ก่อนจะวิ่งไปฉลองด้วยท่าเต้นโยกสะโพกที่มุมธง อันทำให้ โรเจอร์ มิลล่า กลายเป็นที่จดจำในฟุตบอลโลกครั้งนั้นทันที
 

10. โอเล็ก ซาเลนโก้ กับฟอร์มระดับ 5 ดาวในฟุตบอลโลก 1994


ชื่อของ โอเล็ก ซาเลนโก้ อาจไม่มีใครรู้จักมากนักนอกรัสเซีย และด้วยความที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก จึงไม่มีใครคาดคิดว่า นักเตะรายนี้จะทำประตูคนเดียวถึง 5 ประตูในฟุตบอลโลก เมื่อรัสเซียพบกับ คาเมรูน ทีโชว์ฟอร์มได้อย่างเกินความคาดหมายในฟุตบอลโลกปี 1990 เมื่อกลับมาสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลกอีกครั้ง คาเมรูน จึงกลายเป็นทีมที่น่ากลัวทีมหนึ่ง ขณะที่รัสเซียเองเป็นทีมที่ไม่ได้มีนักเตะที่มีชื่อเสียงมากนัก หากแต่การพบกันในฟุตบอลโลกปี 1994 รัสเซีย เอาชนะ คาเมรูนไปด้วย สกอร์ 6-1 โดยที่ 5 ประตูนั้นเกิดจากฝีเท้าของ โอเล็ก ซาเลนโก้ อันทำให้ เจ้าตัวได้ครองตำแหน่งดาวซัลโว (รองเท้าทองคำ) ร่วมกับ ฮริสโต สตอยคอฟ นักเตะจากบัลแกเรีย
 

11. กำเนิด ‘เกมฟุตบอลที่สวยงาม’ ในฟุตบอลโลกปี 1970


ถ้าจะมีการแข่งขันนัดไหนในฟุตบอลโลกที่เหล่าโค้ชจะเปิดให้นักเตะของตนเองได้ชมเกมการแข่งขันที่มีการทำประตูที่สวยงาม เชื่อว่าเทปการแข่งขันที่ทีมชาติบราซิล ต่อบอลกันในนัดที่พบกับทีมชาติอิตาลี ในปี 1970 น่าจะเป็นอีกหนึ่งการแข่งขันที่โค้ชทั่วโลกเลือกกัน เพราะในเกมนัดดังกล่าว นักเตะบราซิล ต่อบอลกันอย่างสวยงาม จนกระทั่งทำประตูได้สำเร็จ และเป็นชัยชนะของบราซิล เหนืออิตาลี 4-1 ประตู โดยประตูที่สวยงามนั้นเกิดจากการต่อบอลของ เปเล่ ไปยัง แจร์ซินโญ่ และ ปิดท้ายด้วย คาร์ลอส อัลแบร์โต ซึ่งลีลาการต่อบอลที่สวยงามนั้นทำให้บราซิล ได้คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปีดังกล่าว
 

12. มานูเอล เนเกรเต้ ก้บลูกยิงขากรรไกร ในฟุตบอลโลก 1986


ประตูของ มานูเอล เนเกรเต้ เป็นการยิงประตูในท่าที่เด็กมัธยมที่เล่นฟุตบอลทุกคนใฝ่ฝัน การยิงประตูในท่าที่ฝืนแรงโน้มถ่วงโลกนั้นเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 1986 เมื่อเม็กซิโก พบกับ บัลแกเรีย จังหวะที่เนเกรเต้ยิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อลูกบอล ถูกเปิดมาด้านหน้าของ เนเกรเต้ และ เจ้าตัวกระโดดฟาดลูกบอลด้วยท่ายิงขากรรไกร เป็นประตูขึ้นนำของ เม็กซิโก ทันที ซึ่งประตูดังกล่าวถูกยกให้เป็นสุดยอดประตูที่ศูนย์หน้าทุกคนหวังจะทำให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะความยากของจังหวะในการเตะบอลในท่าดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
 

13. เมื่อคาเมรูนพลิกล็อกชนะอาร์เจนตินาได้ในฟุตบอลโลกปี 1990


ทีมชาติคาเมรูน ถูกมองว่าเป็นม้านอกสายตาจากทวีปแอฟริกาที่น่าจะเป็นทีมแจกแต้มในฟุตบอลโลกปี 1990 แต่ม้านอกสายตาตัวนี้ ได้สร้างเซอร์ไพรส์ ให้เกิดขึ้น เมื่อทีมที่รั้งแรงกิ้งท้ายๆ ของฟีฟ่า ดันโค่นแชมป์เก่าอย่าง อาร์เจนตินาได้ นับเป็นแมทช์ช็อกโลกจากฟุตบอลโลกปี 1990 เพราะความปราชัยต่อคาแมรูน ทำให้อาร์เจนตินา ตกรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลกชนิดที่หักปากกาเซียนทั้งโลก และแทคติกหนึ่งที่ คาเมรูน ใช้ในการเล่นกับอาร์เจนตินา คือการประกบ เคลาดิโอ คานิกเกีย ศูนย์หน้าของ อาร์เจนตินา ไม่ให้ขึ้นไปทำประตูได้จนทำให้คาแมรูน เอาชนะอาร์เจนตินาไปด้วยสกอร์ 1-0
 

14. เมื่อกรรมการผู้ตัดสิน ไคล์ฟ โธมัสเป่าหมดเวลาขณะที่ บราซิล กำลังยิงประตูในฟุตบอลโลกปี 1978


กรรมการผู้ตัดสินในสนามชาวเวลส์ ไคล์ฟ โธมัส ได้สร้างวินาทีที่ไม่น่าจดจำให้เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 1978 เมื่อเขาปฏิเสธลูกยิงที่เป็นประตูของบราซิลในนัดที่เจอกับสวีเดน อันเป็นการยิงในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันครึ่งแรกซึ่งสกอร์ยังเสมอกันอยู่ที่ 1-1 บราซิล ได้ลูกเตะมุมและเป็น ซิโก้ ที่โหม่งเข้าประตูไป หากแต่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาครึ่งแรกขณะที่ลูกลอยอยู่กลางอากาศเสียก่อนและไม่ให้เป็นประตู ส่งผลให้เกมดังกล่าวในรอบแบ่งกลุ่มจบกันที่เสมอแทนที่จะเป็นบราซิล ชนะ ซึ่งผลการแข่งขันนั้นทำให้บราซิล เข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยเป็นที่สองในกลุ่มซี
 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2QuJ9mAaVK2I6mcEKwVf8g/6dfbd7ef1ad39d4fa34fac323ea8856e/Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Photo04
Photo: โยฮัน ครอยฟ์ ศูนย์หน้าชาวดัตช์มีเทคนิคการครองบอลในที่แคบเป็นเลิศจนได้ฉายา 'นักเตะเทวดา'

15. ลีลา ‘ครอยฟ์เทิร์น’ ในฟุตบอลโลกปี 1974


มีนักฟุตบอลไม่กี่รายที่ถูกตั้งชื่อแทคนิคการเล่น ตามชื่อของนักฟุตบอลรายนั้น หากแต่ลีลา ‘กลับตัวแบบครอยฟ์’ ในฟุตบอลโลกปี 1974 คือความสามารถเฉพาะตัวที่นักฟุตบอลด้วยกันและแฟนบอลทั่วโลกต้องยกย่อง โยฮัน ครอยฟ์ นักเตะมากความสามารถชาวดัตช์ โดยเทคนิคดังกล่าวได้ปรากฎต่อแฟนบอลทั่วโลกในฟุตบอลโลกปี 1974 เมื่อ เนเธอร์แลนด์ (ฮอลแลนด์ ในเวลานั้น) พบกับ สวีเดน จังหวะที่ ครอยฟ์ จับลูกที่ส่งมาจากกลางสนาม และต้องเลี้ยงหลบกองหลังของสวีเดน ด้วยพื้นที่ครองบอลที่แสนแคบ ‘นักเตะเทวดา’ ได้โชว์ความสามารถเฉพาะตัวกับลีลาหมุนตัวเพื่อหลอกกองหลังสวีเดน ก่อนจะยิงบอลผ่านไปให้เพื่อนร่วมทีม ลีลาดังกล่าวกลายเป็นที่เลื่องลือ และทำให้นักฟุตบอลรุ่นหลังใช้เป็นเทคนิคสำคัญในการเล่นฟุตบอล
 

16. ฟุตบอลโลกคือการแข่งขันที่คุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นในการแข่งขันฟุตบอลไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกใบนี้


การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1974 รอบแบ่งกลุ่มเป็นการพบกันระหว่าง ทีมเต็งอย่างบราซิล กับทีมชาติซาอีร์ จากแอฟริกาใต้ จังหวะที่ทีมแซมบ้าได้ฟรีคิก และ นักเตะของซาอีร์ ตั้งกำแพงกั้นอยู่นั้น เมื่อกรรมการเป่านกหวีดให้ทางบราซิล เตะฟรีคิก ปรากฎว่า เอ็มเวป้า นักเตะจากซาอีร์ พุ่งออกมาจากกำแพง แล้วเตะลูกออกไปกลางสนาม สร้างความตกใจระคนสงสัยว่า เอ็มเวป้า ไม่เข้าใจกติกาฟุตบอลหรือไม่ แต่การกระทำนั้นทำให้เอ็มเวป้า โดนใบเหลือง และ ภายหลังเหตุการณ์ มีรายงานว่า ที่เอ็มเวป้า ทำเช่นนั้นเพราะเขาตั้งใจเนื่องจากต้องการประท้วงสมาคมฟุตบอลของประเทศซาอีร์ ที่นายกสมาคมฯ ขู่ว่า จะไม่จ่ายค่าเหนื่อยให้นักเตะทุกคนหากแพ้ให้กับบราซิล มากกว่า 3 ประตู
 

17. เซเนกัล ดับฝันฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกปี 2002


แชมป์โลก และ แชมป์ยุโรปอย่างทีมชาติฝรั่งเศสนั้น มักถูกยกให้เป็นทีมเต็งทุกครั้งที่เข้าร่วมฟุตบอลโลก เมื่อต้องลงสนามในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม อันเป็นนัดเปิดสนามบรรดาเซียน และบริษัทรับพนันทั่วโลกต่างคาดหมายว่า ฝรั่งเศสต้องเก็บแต้มจากเซเนกัล ได้อย่างแน่นอน แต่ปรากฎว่า ทีมเลส์ เบลอส์ กลับพ่ายแพ้ให้กับเซเนกัล 0-1 และฝรั่งเศสตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยฟอร์มการเล่นที่หลายคนมองว่า ไม่ได้ตามมาตรฐานที่ทีมชาติฝรั่งเศสควรจะเป็นเพราะนอกจากพ่ายแพ้ให้กับ เซเนกัล แล้ว ฝรั่งเศส ยังไปพ่ายให้กับ เดนมาร์ก และ เสมอกับ อุรุกวัย ทำให้ไม่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
 

18. บราซิล พบกับ สวีเดน ในฟุตบอลโลกปี 1958


ในฟุตบอลโลกปี 1958 เปเล่ เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลก ในนัดชิงชนะเลิศที่บราซิล เอาชนะสวีเดน 5 - 2 นั้น เปเล่ ไม่ได้มีชื่อติดอยู่ใน 11 ผู้เล่นตัวจริง แต่เพื่อนร่วมทีมของเปเล่ ได้โน้มน้าวให้โค้ช ใส่ชื่อเปเล่ ลงเล่นในนัดดังกล่าว อันเป็นการเปิดทางให้เปเล่ ทำสองประตูชนะสวีเดนได้สำเร็จ
 

19. เมื่อเพื่อนร่วมสโมสร กลายเป็นศัตรูในฟุตบอลโลกปี 2006


การพบกันระหว่างทีมชาติอังกฤษ และ โปรตุเกส ในฟุตบอลโลก 2006 ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ เวย์น รูนี่ย์ ถูกใบแดงให้ออกจากสนาม การลงโทษดังกล่าวถ้าดูจากภาพรีเพลย์แล้วจะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ รูนี่ย์ เองก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่นักเตะโปรตุเกส เองก็ออกแอคชั่นเกินพอดี ขณะที่โรนัลโด้ก็เข้าไปกดดันกรรมการ สุดท้ายทำให้รูนี่ย์ ต้องออกจากสนาม ในจังหวะที่ รูนี่ย์ เดินออกจากสนามนั้น กล้องจับภาพที่ โรนัลโด้ เหมือนขยิบตาในเชิงเยาะเย้ย รูนี่ย์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รูนี่ย์ และ แฟนบอลอังกฤษ ไม่พอใจโรนัลโด้ เป็นอย่างมาก
 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3UL4XoDcixzTjbBXNCJs9P/ba947dee72f0db732192441ee95bb0ce/Twenty-Event-World-Cup-SPACEBAR-Photo05
Photo: ซีเนอร์ดีน ซีดาน ให้สัมภาษณ์กรณีเอาหัวโขกหน้าอก มาเตอราซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี

20 .เมื่อ ซีดาน ฟิวส์ขาดกับลีลา เฮดบัตต์ โลกไม่ลืมในฟุตบอลโลก 2006


ซีเนอร์ดีน ซีดาน ได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลทีเล่นแฟร์เพลย์คนหนึ่งของวงการ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ในฟตุบอลโลกปี 2006 เมื่อทีมชาติฝรั่งเศส พบกับ ทีมชาติอิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ ซีดาน ที่อดทนมาโดยตลอด ขอไม่ทนกับพฤติกรรมของ มาเตราซซี่ นักฟุตบอลอิตาลี ที่พูดจาทำนองยั่วยุ และ พาดพิงไปถึงคนในครอบครัวซีดาน ทำให้นักเตะชื่อดังระงับอารมณ์ไม่ไหว และ เดินเข้าไป เอาหัวโขกหน้าอกของ มาเตอราซซี่ ทำให้เขาถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และ ท้ายที่สุด ทีมชาติฝรั่งเศส พ่ายการดวลจุดโทษให้กับอิตาลี ส่งผลให้ขุนพลอัสซูรี่ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์