เละเทะไม่มีชิ้นดีจริงๆ สำหรับใครที่เป็นแฟนบอลของทีม ‘สิงห์บลูส์’ เชลซี เพราะล่าสุดพวกเขาเพิ่งจะโดน ไบรท์ตัน ย้ำแค้นไปแบบเจ็บปวดถึง 3 เมล็ด โดยก่อนหน้านี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งโดนทีมนกนางนวลถีบกระเด็นตกรอบเอฟเอ คัพ ไปหมาดๆ มาสัปดาห์ที่ผ่านมาแฟนบอลก็หวังจะได้เห็นทีมเอาคืนด้วยการบุกมาถอนแค้นที่เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม แต่สุดท้ายก็ตามสภาพที่เห็น เจ้าถิ่นเล่นสบายๆ เน้นรับแน่นๆ ไม่ต้องครองบอลเยอะก็ชนะไปแบบไม่ยากเย็น
ปัญหาของเชลซีตอนนี้นอกจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นที่ทยอยพาเหรดกันเข้าโรงหมอก็เห็นทีว่าจะเป็นความ ‘ดื้อรั้น’ ของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า เฮดโค้ชหัวใสที่ยึดมั่นในแนวทางการทำทีมของตัวเองทั้งที่หลายเกมที่ผ่านมาได้แต่ผลลัพธ์แบบเดิมๆ และคิดว่าถ้ายังดันทุรังแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูทรงแล้วท็อปโฟร์คงไม่ได้ รวมไปถึงแชมป์คอนเฟอร์เรนซ์ ลีกก็คงหวังยากเหมือนกัน วันนี้เราเลยจะพาไปดูว่าความดื้อของมาเรสก้ามีอะไรบ้าง ไปติดตามได้เลยครับ

ไม่เสริมทีม พอนักเตะเจ็บเยอะ = จบ
ปัญหาแรกคือความดื้อในเรื่องตลาดซื้อขายหน้าหนาวที่ผ่านมา เอ็นโซ่ มาเรสก้า ให้สัมภาษณ์อยู่เรื่อยๆ ว่าเขาต้องการให้ทีมมีความสมดุล แต่การปล่อยออกแล้วไม่เสริมเข้าเห็นทีดูแล้วตอนนี้มันจะไม่เป็นแบบที่เขาพูดเสียแล้ว เพราะตอนนี้เมื่อกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติสองคน นิโคลัส แจ็คสัน และ มาร์ค กิว บาดเจ็บไป และทีมปล่อยยืมตัว เจา เฟลิกซ์ ไปแล้ว ทำให้ทีมไม่เหลือใครที่ถนัดเล่นในตำแหน่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว
การใช้ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ไปเล่นก็แก้ปัญหาไม่ได้เพราะธรรมชาติของนักเตะคือกองกลางตัวรุก ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเวลาเล่น เอ็นคุนคู จะไม่เคยไปยืนห้อยแบบกองหน้าแท้ๆ เลย เขาจะพยายามลงต่ำมาครองบอลตลอด จากความเคยชินในตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดคือการสร้างสรรค์เกม ไม่ใช่การยิงประตู นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งกองกลางและกองหลังที่เจ็บอีก การไม่ซื้อใครเลยทำให้เวลาหันไปมองที่ม้านั่งสำรองก็มีแต่เด็กที่ไม่มีอิมแพคท์พอจะเปลี่ยนเกมได้

แผนเดียว แผนเดิม แต่ต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง?
แฟนบอลส่วนใหญ่ตอนนี้ต่างขนานนามกุนซือหัวใสรายนี้ว่าเป็น ‘โค้ชแผนเดียว’ เพราะทุกวันนี้ที่คุมทีมเขาใช้แผนเดิม วิธีการเล่นแบบเดิมๆ แต่อยากได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ซึ่งมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอนถ้าไม่คิดจะปรับหรือลองอะไรใหม่ๆ เพื่อมาแก้ทางคู่ต่อสู้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เกมที่แพ้ไบรท์ตัน 2-1 ตกรอบเอฟเอ คัพ เขาใช้แผนไหนเกมที่แพ้ 3-0 เมื่อวันศุกร์เขาก็ใช้แผนเดิม เน้นครองบอล พยายามเจาะตรงกลาง ซึ่งเขาก็ปิดแน่นมาตั้งแต่นัดเอฟเอ คัพที่เจอกัน เจอกันอีกรอบแล้วทำแบบเดิม เคาะบอลวนไปวนมาอยู่ในแดนหลัง ครองบอลแต่บุกไม่ได้ เมื่อไม่แก้ปัญหาที่เจอมาแล้วฝั่งคู่แข่งก็ได้ทีลูบปากรอเลย เพราะสิ่งที่ไบร์ทตันต้องทำก็แค่รับให้ลึก แพ็คกลางให้แน่น รอจังหวะสวนกลับคมๆ พอที่จะเป็นประตูก็สามารถเอาชนะได้แบบสบายๆ อย่างที่เห็น
นอกจากนี้ยังมีการ ‘ดื้อ’ จับแบ็คไปเล่นอินเวิร์ท หรือ หุบเข้าไปเล่นด้านในแบบที่แบ็คสมัยใหม่ในปัจจุบันเล่นกัน มันไม่ผิดอะไรหากจะใช้แท็คติกนี้ เพราะช่วงต้นฤดูกาล มาร์ค คูคูเรญ่า ก็เล่นแบบนี้แล้วทำได้ดี แต่มาเรสก้าก็ดันปรับสิ่งที่ดีอยู่แล้ว อยากลองอะไรใหม่ๆ โดยให้แบ็คขวาอย่าง มาโล กุสโต้ มาเล่นอินเวิร์ทแทนซึ่งหลายเกมแล้วที่เขาทำได้ไม่ดี บุกขึ้นเกมตรงกลางไม่ได้ ออกไปช่วยปีกเล่นก็ไม่ได้เพราะแผนมันอินพุตสั่งมาแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ดันทุรังเล่นแบบเดิมต่อไป

ใช้งานนักเตะผิดตำแหน่ง ใครเก่งตรงไหนให้ไปเล่นตรงอื่น
กรณีนี้ ‘ดื้อต่อเนื่อง’ จากข้อที่ผ่านมา มาโล กุสโต้ ที่ให้ไปเล่นเป็นอินเวิร์ทฟูลแบ็ค สุดท้ายแล้วต้องอย่าลืมว่าหน้าที่หลักของเขาคือกองหลัง ถ้าบุกไม่ได้ก็ต้องรับให้ดี มาเรสก้าเลือกที่จะให้ กุสโต้ บุกเป็นหลัก ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาควรช่วยแบ่งเบาภาระ มอยเซส ไกเซโด้ ในการเล่นเกมรับด้วย ต่อเนื่องเลยก็คือ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ที่โดนดันขึ้นไปยืนสูงเป็นกองกลางตัวรุก เน้นเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษของคู่แข่งเยอะจนเกินไป เพราะจุดเด่นของเอ็นโซ่คือการเซ็ตบอลขึ้นเกมบุกตามตำแหน่งที่เขาถนัดอย่าง Deep Lying Playmaker ซึ่งควรมาช่วยแก้ปัญหากองหลังขึ้นเกมไม่ได้
ปิดท้ายด้วยคนที่โดดเด่นมากๆ มาตลอดตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วอย่าง โคล พาลเมอร์ ที่ยิงได้เป็นกอบเป็นกำในยุคการคุมทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ โดยในตอนนั้นพาลเมอร์ยืนเป็นกองกลางเบอร์ 10 กึ่งปีกขวา และยืนห้อยสูงอยู่แดนบน เล่นเกมรุกได้ตามที่ถนัด แต่มาเรสก้าก็ฉีกวิธีการเล่นนั้นให้ขาดสะบั้นด้วยการจับไอ้หนูหนาวเหน็บมาเล่นตัวฟรี นั่นก็คือการให้อิสระสุดๆ กับเขา ทำให้ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าพาลเมอร์วิ่งทั่วไปหมดทั้งสนาม จากที่เคยยืนสูงเขาลงมาล้วงบอลถึงในแนวหลัง จากที่เคยสร้างสรรค์เกมบุกได้อย่างแพรวพราวตอนนี้กลายเป็นยืนทับตำแหน่งคนอื่นไปหมดจนตอนนี้เขาทำอะไรคู่แข่งไม่ได้เลย ไม่ว่าจะยิงหรือแอสซิสต์มาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ซึ่งถือว่าไม่ปกติเอามากๆ สำหรับผู้เล่นระดับนี้ที่กำลังฟอร์มดีสุดๆ
สุดท้ายปัญหาทั้งหมดนี้คนที่จะแก้ไขได้ก็มีแค่ เอ็นโซ่ มาเรสก้า คนเดียวเท่านั้น เพราะหน้าที่ของเขาคือทำให้ทีมมีผลงานที่ดีขึ้น คงต้องมารอดูกันว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้างไหม เพราะในสามเกมหลังจากนี้ เชลซี มีคิวต้องเจอกับ แอสตัน วิลล่า, เซาแธมป์ตัน และ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 6 แต้มจากสองทีมท้ายตาราง ถ้าต่ำกว่านั้นดูแล้วเชลซีคงจะไม่ใช่ ‘พื้นที่’ ของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า