ถ้าจะให้พูดถึงทีมกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเวลานี้ ไม่มีชื่อของ เรดบูลล์ เรซซิ่ง คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ ฟอร์มูล่าวัน 2023 ฤดูกาลล่าสุด พวกเขาเพิ่งจะคว้าแชมป์โลกทั้งประเภททีมผู้ผลิต และประเภทนักขับที่ มักซ์ เวอร์สแตพเพน ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ไปแล้วเรียบร้อย โดยแชมป์ประเภททีมก็ทะยานขึ้นไปถึงสมัยที่ 6 แล้ว แม้ประวัติศาสตร์ของทีมจะไม่ยาวนานเท่าทีมที่เราคุ้นหูกันอย่างพวก เฟอร์รารี่, เมอร์เซเดส, แมคลาเรน เพราะพวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี 2005 แต่หากดูจากความสำเร็จในปัจจุบัน ก็คงไม่ยากที่จะขึ้นไปเทียบชั้นบรรดาทีมระดับตำนานได้
และในวันนี้เราจะพาทุกคนย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของทีม เรดบูลล์ เรซซิ่ง ไล่เรียงมาจนถึงซีซันล่าสุด ซึ่งดูแล้ว ‘กระทิงดุแห่งออสเตรีย’ ฝูงนี้ อาจจะครองวงการฟอร์มูล่าวันยุคปัจจุบันไปอีกสักระยะ ถ้าพร้อมแล้ว ติดตามไปกับ Spacebar VIBE ได้เลยครับ
จุดเริ่มต้นของทีมมีมูลค่าแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

จุดเริ่มต้นจริงๆ ของ เรดบูลล์ ในวงการฟอร์มูล่าวัน ไม่ใช่การเริ่มต้นในฐานะทีมผู้ผลิต แต่พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้สนับสนุนให้กับทีม เซาเบอร์ เอฟวัน มาตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปี 2004 โดยหลังจากการเป็นเพียงสปอนเซอร์มายาวนานถึง 9 ปี เต็ม ในปี 2005 นักธุรกิจและมหาเศรษฐีชาวออสเตรีย ‘ดีทริช เมเทสซิทซ์’ เจ้าของเรดบูลล์ในต่างประเทศก็ตัดสินใจซื้อทีม จากัวร์ เรซซิ่ง ซึ่งในเวลานั้น ฟอร์ด เป็นเจ้าของทีมด้วยมูลค่าเพียงแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แลกกับเงื่อนไขหนึ่งข้อนั่นก็คือ หลังจากซื้อกิจการแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องลงทุนกับทีมด้วยจำนวนเงิน 400 ล้านดอลลาร์ฯ เป็นเวลา 3 ฤดูกาล โดยจะยังใช้เครื่องยนต์ คอสเวิร์ธ ได้ต่อไป และสามารถเปลี่ยนชื่อทีมได้
หลังจากนั้นก็แต่งตั้ง คริสเตียน ฮอร์เนอร์ อดีตนักแข่งรถรายการฟอร์มูล่า 3000 เข้ามาเป็นหัวหน้าทีม ซึ่งทำให้เวลานั้นเขากลายเป็นหัวหน้าทีมที่อายุน้อยที่สุดในวงการ ต่อด้วยการดึง เอเดรียน นิวอี้ ผู้ที่เคยสร้างรถฟอร์มูล่าวันระดับแชมป์โลกให้กับทีมอย่าง วิลเลียมส์ เรซซิ่ง และ แมคลาเรน เข้ามาเป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิคของทีม โดยในฤดูกาลแรก พวกเขาก็ทำผลงานจบกลางตารางด้วยอันดับที่ 7 ในฐานะทีมผู้ผลิตด้วยคะแนนรวม 34 คะแนน
สำหรับในช่วง 3 ปีแรกของ เรดบูลล์ เรซซิ่ง พวกเขาถือว่ายังเป็นทีมที่มีผลงานมาตรฐานอยู่ที่กลางตารางเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังต่อกรกับยักษ์ใหญ่ในเวลานั้นที่ประสบความสำเร็จมากๆ อย่าง เฟอร์รารี่ ไม่ไหว ก่อนจะมาเริ่มเห็นภาพความสำเร็จอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2009 เมื่อได้ เซบาสเตียน เวทเทล นักแข่งฝีมือดีเข้ามาร่วมทีม โดยปีนั้นรถแชสซีส์ RB5 กับเครื่องยนต์เรโนลต์ ได้พาเวทเทลขึ้นไปจบอันดับ 2 บนตารางคะแนนนักขับ รวมไปถึง มาร์ค เว็บเบอร์ นักแข่งอีกคนของทีมที่จบอันดับ 4 ทำให้ในฐานะทีมผู้ผลิต พวกเขาทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อทีมมาด้วยการจบอันดับ 2 ตามหลังแชมป์อย่าง เมอร์เซเดส แค่ 18.5 คะแนนเท่านั้น
ช่วงเวลาที่รอคอยกับแชมป์โลก 3 สมัยรวด

หลังจากเข้าใกล้ความสำเร็จแบบสุดขีดในฤดูกาล 2009 ให้หลังเพียงแค่ปีเดียว ช่วงเวลาที่ทีมกระทิงแห่งออสเตรียรอคอยก็มาถึง เมื่อพวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกสมัยแรกนับตั้งแต่เข้าสู่วงการฟอร์มูล่าวันได้สำเร็จ โดยในปีนั้น เซบาสเตียน เวทเทล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเป็นผู้ชนะได้ถึง 5 สนาม และยืนบนโพเดียมทั้งหมด 10 สนาม จบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์โลกนักแข่ง บวกกับผลงานที่น่าพอใจของ มาร์ค เว็บเบอร์ นักขับอีกคนของทีม ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาขึ้นไปสัมผัสเกียรติยศของแชมป์โลกทีมผู้ผลิตได้เสียที เอาชนะทั้ง แมคลาเรน, เฟอร์รารี่ และ เมอร์เซเดส ไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อจากนั้น เรดบูลล์ ก็ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวของเวทเทลที่ฟอร์มฮอตเอามากๆ เพราะในปี 2011 เขาสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 11 สนาม จากทั้งหมด 19 สนาม แถมในช่วง 9 เรซแรก เขายังจบอันดับด้วยการยืนบนโพเดียมได้ทั้งหมด จบปีไปด้วยคะแนนรวมมากถึง 392 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสองอย่าง เจนสัน บัตตัน ของทีมแมคลาเรน ที่ทำได้ 270 คะแนน ทำให้อันดับในตารางคะแนนทีมผู้ผลิต เรดบูลล์ เรซซิ่ง เอาชนะแมคลาเรนไปได้แบบขาดลอยมากถึง 153 คะแนน
ซึ่งในปี 2012 พวกเขาก็ยังรักษาตำแหน่งแชมป์โลกได้เหมือนเดิมทั้งในประเภทนักขับและทีมผู้ผลิต ถือเป็นยุคทองยุคแรกของทีมเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์ของเรโนลต์ บริษัทรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส แต่ด้วยผลงานที่ดร็อปลงไปของนักแข่งเบอร์สองของทีมอย่าง มาร์ค เว็บเบอร์ ก็ทำให้พวกเขาทิ้งห่าง เฟอร์รารี่ ทีมอันดับสองไปไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เพราะ เรดบูลล์ เรซซิ่ง กลายเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ทีมผู้ผลิตได้ถึงสามฤดูกาลติดต่อกัน และต่อเนื่องด้วยสมัยที่ 4 ในปีถัดมา
ยุคโรยรา และการมาของเด็กหนุ่มชื่อว่า มักซ์ เวอร์สแตพเพน

หลังจากที่ เรดบูลล์ เรซซิ่ง สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ได้ 4 ฤดูกาล ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องกลับมาสู่ช่วงเวลาแห่งการดิ้นรนที่จะค้นหาชัยชนะ เมื่อการแข่งขันปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคไฮบริด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้รถ RB10 ในปี 2014 ขาดแรงม้าไปพอสมควร ไม่เหมือนกับยุครุ่งเรืองเมื่อ 4 ปี ก่อนหน้า บวกกับทางด้าน เมอร์เซเดส ที่ปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ไวกว่า พร้อมกับฟอร์มของ ลูอิส แฮมิลตัน ที่สุกงอมได้ที่พอดิบพอดี ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์โลกได้ทั้งสองประเภท ปิดตำนานความยิ่งใหญ่ตลอด 4 ฤดูกาลของ เรดบูลล์ เรซซิ่ง ไปโดยปริยาย
นั่นทำให้ตลอดเวลาหลังจากนั้นราวๆ 5 ฤดูกาลของฟอร์มูล่าวันกลายเป็นช่วงที่ เมอร์เซเดส และ ลูอิส แฮมิลตัน ครองความสำเร็จได้แบบเบ็ดเสร็จทั้งในแง่ของนักขับและทีมผู้สร้าง แต่ในช่วงปี 2016 การมาของเด็กหนุ่มชาวดัตช์ที่ชื่อ มักซ์ เวอร์สแตพเพน ก็เริ่มทำให้เรดบูลล์กลับมาอยู่ในร่องในรอยได้บ้าง เพราะ ‘ซูเปอร์มักซ์’ เริ่มแสดงฝีมือให้เห็นว่า เขานี่แหละที่ทีมจะสามารถฝากอนาคตไว้ได้ จนในปี 2019 ทีมตัดสินใจแยกทางกับเรโนลต์ และหันมาร่วมงานกับ ‘ฮอนด้า’ บริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งในปีแรกของการร่วมงานกัน มักซ์ สามารถพารถของฮอนด้าคว้าชัยชนะได้ทั้งหมด 3 สนาม และช่วยให้ทีมจบอันดับที่ 3 บนตารางทีมผู้ผลิตได้สำเร็จ หลังจากนั้น มักซ์ และ เรดบูลล์ ก็เริ่มส่งสัญญาณบอก เมอร์เซเดส ว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่คืน


แล้วก็ไม่ต้องรอนานเมื่อ เรดบูลล์ และ ฮอนด้า ใช้เวลาแค่ 2 ปีในการทำงานร่วมกัน เมื่อในฤดูกาล 2021 เวอร์สแตพเพน สามารถเอาชนะ แฮมิลตัน ไปแบบสุดดราม่าในเรซสุดท้ายที่ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่งให้เขาขึ้นไปคว้าแชมป์โลกนักแข่งได้สำเร็จ และทำให้ทีมกลับมาจบอันดับสองบนตารางคะแนนผู้ผลิต แถมยังตามหลัง เมอร์เซเดส เพียงแค่ 28 คะแนนเท่านั้น จนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เรดบูลล์ เรซซิ่ง ก็กลับมาครองบัลลังก์แบบเบ็ดเสร็จ เมื่อพวกเขาประกาศศักดาการกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ คว้าแชมป์โลกได้ทั้ง 2 ประเภท รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานใหม่ของ เวอร์สแตพเพน ที่ทำคะแนนสะสมนักขับไปได้สูงสุดตลอดกาลที่ 454 คะแนน
เมื่อตัดภาพมาในซีซันปัจจุบัน ฟอร์มูล่าวัน 2023 เรดบูลล์ ก็ยังคงทำผลงานสุดยอดได้อย่างต่อเนื่อง คว้าแชมป์โลกทั้ง 2 ประเภทไปครองได้แล้วเรียบร้อย ซึ่งในตอนนี้พวกเขาพร้อมสุดๆ ที่จะเดินหน้าสร้างความสำเร็จต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปี จากฟอร์มอันร้อนแรงของ มักซ์ เวอร์สแตพเพน กับสัญญาของฮอนด้าที่เหลืออยู่จนถึงปี 2025 ก่อนที่ในฤดูกาล 2026 พวกเขาจะกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งกับ ‘ฟอร์ด’ ที่จะมาสานงานต่อในส่วนของเครื่องยนต์ และเป็นการกลับสู่งวงการฟอร์มูล่าวันในรอบ 22 ปี คงต้องมารอดูกันอีกทีว่าเมื่อถึงตอนนั้น ‘กระทิงดุแห่งออสเตรีย’ จะยังโลดแล่นอยู่บนจุดสูงสุดแบบนี้ได้เหมือนเดิมหรือเปล่า