เดินทางมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันแล้วสำหรับศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ ยูโร 2024 ที่ตอนนี้ได้ 16 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมาแล้วเรียบร้อย ซึ่งต้องบอกว่าบรรดาบิ๊กทีมชาติใหญ่ๆ ที่เป็นตัวเต็งก็มาตามนัดกันหมด ไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติสเปน, ทีมชาติเยอรมนี, ทีมชาติโปรตุเกส, ทีมชาติฝรั่งเศส, ทีมชาติเบลเยียม, ทีมชาติเนเธอร์แลนด์, ทีมชาติอังกฤษ และ ทีมชาติอิตาลี โดยก่อนที่จะเริ่มคิกออฟรอบนี้อย่างเป็นทางการในช่วงห้าทุ่มคืนนี้ เราก็มีพรีวิวฟอร์มในรอบก่อนหน้าของยักษ์ใหญ่เหล่านี้มาฝากกันด้วย มาดูกันว่าในรอบนี้ทีมไหนมีแววและทิศทางอย่างไร จะผ่านไปได้หรือเปล่า ติดตามได้เลยครับ

อิตาลี
เริ่มกันที่ทัพ ‘อัซซูรี’ ทีมชาติอิตาลี ที่มีคิวจะลงเตะเป็นคู่แรกในรอบนี้กันก่อน โดยพวกเขาเตรียมลงสนามเจอกับขุนพล ‘แดนนาฬิกา’ ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่งานง่ายเท่าไหร่นัก ส่วนผลงานในรอบแบ่งกลุ่มของอิตาลี ทีมของ ลูเชียโน่ สปัลเลตติ ผ่านเข้ารอบมาได้ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม ชนะ เสมอ และแพ้ไปอย่างละ 1 นัด เก็บได้ 4 คะแนน แถมยังต้องลุ้นเหนื่อยในนัดสุดท้าย หลังจากได้ประตูตีเสมอสุดดราม่าของ มัตเตีย ซัคคานญี ที่ทำให้พวกเขาเก็บ 1 แต้มสำคัญ ไม่ต้องไปลุ้นเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ทำให้การพบกับสวิตเซอร์แลนด์ในครั้งนี้ประมาทไม่ได้ เพราะคู่แข่งยังไม่แพ้ใครในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่สุดท้ายก็เชื่อว่าด้วยความเก๋าเกมกว่าของอิตาลี พวกเขาน่าจะผ่านรอบนี้ไปได้

เยอรมนี
ต่อกันที่ทีมเจ้าภาพครั้งนี้อย่าง ทีมชาติเยอรมนี ที่ฟอร์มในรอบแบ่งกลุ่มของพวกเขาใช้ได้เลยทีเดียว เก็บชัยชนะไปได้ในสองนัดแรก เริ่มตั้งแต่เกมแรกที่ไล่ถล่ม ทีมชาติสก็อตแลนด์ ไปแบบเละเทะ 5-1 ต่อด้วยชนะฮังการี 2-0 ซึ่งจากฟอร์มสองนัดแรก เราได้เห็นสไตล์การเล่นเกมรุกที่เป็นจุดเด่นในการทำทีมของ ยูเลียน นาเกิลมันส์ เฮดโค้ชของพวกเขา แม้ว่าในนัดสุดท้ายเกือบจะไม่รอด หลังโดนสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นนำในครึ่งแรก ก่อนมาได้ประตูตีเสมอช่วงทดเวลา แต่ภาพรวมของเกมฝั่งเจ้าภาพก็แทบจะกดคู่แข่งอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งพอมาดูฟอร์มของ ทีมชาติเดนมาร์ก คู่ต่อสู้ในรอบนี้ที่ขาดความเฉียบคม ทำให้เสมอ 3 นัดรวด ต่อให้จะมีเกมรับที่เหนียวแน่นพอจะยันไหว สุดท้ายก็คงต้านไม่อยู่และเป็นทัพ ‘อินทรีเหล็ก’ ที่ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

อังกฤษ
มาถึงทีมเต็ง 1 ในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2024 หนนี้อย่าง ทีมชาติอังกฤษกันบ้าง ที่พวกเขาก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ด้วยการจบตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่ม แต่ก็ผ่านมาได้ชนิดที่เรียกว่าเต็มไปด้วยคำวิจารณ์เกี่ยวกับผลงานที่ไม่ได้ดีเลิศเลออะไร โดยคนที่โดนตำหนิเยอะสุดแน่นอนว่าเป็น แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือใหญ่ของทีมที่โดนต่อว่าในเรื่องของแท็คติกที่เน้นชัวร์จนเกินไป เกมรุกขาดความหวือหวา เพราะเลือกผลการแข่งขันให้ไม่แพ้เอาไว้ก่อน ถึงอย่างไรก็ตามด้วยคุณภาพโดยรวมของทีมที่ดูแล้วเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง ทีมชาติสโลวาเกีย ค่อนข้างเยอะ ก็เชื่อว่าในท้ายที่สุดทีม ‘สิงโตคำราม’ ยังคงมีดีพอที่จะฝ่าด่านในรอบนี้ไปได้

สเปน
อีกหนึ่งทีมที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในยูโรคราวนี้จะเป็นทีมไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน ที่เป็นหนึ่งเดียวที่สามารถเก็บชัยชนะรวด 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม คว้า 9 คะแนนเต็มไปได้ แถมยังไม่เสียประตูเลยด้วย โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้ พวกเขาจะพบกับ ทีมชาติจอร์เจีย ที่ทำเซอร์ไพรส์ได้ตั้งแต่ผ่านเข้ามาเล่น ยูโร รอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และสามารถทะลุรอบแบ่งกลุ่มมาได้ด้วย หลังจากเอาชนะ ทีมชาติโปรตุเกส ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ แต่ทางจอร์เจียก็คงไม่น่าจะต้านทานเกมรุกที่รวดเร็วและร้อนแรงของสเปนได้ สุดท้ายลูกทีมของ หลุยส์ เด ลา ฟูเอนเต้ ก็น่าจะยังรักษาผลงานเพอร์เฟคต์นี้ไว้ได้เหมือนเดิม พร้อมผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็น

ฝรั่งเศส และ เบลเยียม
มาถึงบิ๊กแมตช์หนึ่งเดียวในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูโร 2024 เป็นการพบกันระหว่าง ทีมชาติฝรั่งเศส และ ทีมชาติเบลเยียม ที่เป็นการรีแมตช์รอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 โดยทั้งสองทีมผ่านเข้ารอบมาด้วยตำแหน่งรองแชมป์กลุ่มทั้งคู่ ทางด้านฝรั่งเศสเก็บชัยชนะไปได้ 1 นัด เสมอ 2 นัด ส่วนเบลเยียมชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 1 ฟอร์มค่อนข้างกระท่อนกระแท่นทั้งคู่ แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วฝั่งทีม ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ดูจะยังมีข้อผิดพลาดที่มากกว่า หลักๆ เลยคือในเรื่องเกมรุกที่ด้าน โรเมลู ลูกากู บอดสนิทเหลือเกิน ซึ่งทางด้าน ‘ตราไก่’ ดูเหมือนเครื่องจะร้อนช้า แต่ด้วยประสิทธิภาพของทีมที่ดูเหนือกว่า มีตัวเลือกมากกว่า ก็น่าจะทำให้ฝรั่งเศสเบียดเอาชนะไปได้ในรอบนี้

โปรตุเกส
ต่อกันที่อดีตแชมป์ยูโร 2016 อย่างทัพ ‘ฝอยทอง’ ทีมชาติโปรตุเกส ที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่ม F แต่ว่ามีแต้มเท่ากับ ทีมชาติตุรกี แต่ลูกได้เสียดีกว่า โดยพวกเขาไปพลาดท่าแพ้ ทีมชาติจอร์เจีย ในนัดสุดท้าย 2-0 ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วฟอร์มในรอบแบ่งกลุ่มของพวกเขามีแค่นัดที่สองเท่านั้นที่ชนะขาด ส่วนนัดแรกต้องรอถึงช่วงทดเวลากว่าจะมาได้ประตูชัย เมื่อมองดูแท็คติกของกุนซือ โรแบร์โต มาร์ติเนซ ก็ยังขาดความดุดันและเฉียบคมในเกมรุกพอสมควร แถมหนนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังเปิดบัญชีตัวเองไม่ได้เลยด้วย พอมามองดูคู่แข่งอย่าง ทีมชาติสโลวีเนีย ที่มีวินัยในเกมรับค่อนข้างดี เน้นเล่นจังหวะสวนกลับ พวกเขาอาจจะทำให้เราได้เห็นเซอร์ไพรส์ในนัดนี้ก็ได้

เนเธอร์แลนด์
ปิดท้ายกันด้วยทีมใหญ่ที่เป็นม้ามืดที่สุดในทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้อย่าง ‘อัศวินสีส้ม’ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายมาในฐานะทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ซึ่งพวกเขาชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 1 โดยฟอร์มรวมๆ ดูค่อนข้างทุลักทุเลกว่าจะผ่านแต่ละนัดมาได้ ปัญหาหลักๆ เลยคือเกมรุกที่ไม่มีความเฉียบคมเอาซะเลย แถมเกมรับก็ยังพลาดเสียประตูง่ายๆ ดูได้จากนัดล่าสุดที่โดน ทีมชาติออสเตรีย นำก่อนถึง 2 หน แม้จะตามตีเสมอได้ แต่ก็มาพลาดเสียลูกที่สาม แพ้ไปอยู่ดี ซึ่งสุดท้ายก็ยังมีโชคช่วยอยู่บ้างที่คู่แข่งของพวกเขากลายเป็น ทีมชาติโรมาเนีย ที่มีลูกได้เสียดีกว่า ทีมชาติเบลเยียม ไม่ต้องเจองานหนักมากนัก เชื่อว่าด้วยคุณภาพที่เหนือกว่าโรมาเนียค่อนข้างมาก ก็ยังจะทำให้ทีมของ โรนัลด์ คูมัน ผ่านรอบนี้ไปได้