‘ช้างศึก’ กับ AFF 2024 แฟนบอลคาดหวังอะไรได้บ้าง ต้องรับมืออย่างไรถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด

6 ธ.ค. 2567 - 13:00

  • อีกแค่สองวันเท่านั้นที่ทัพ ‘ช้างศึก’ จะเข้าสู่โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024

  • วันนี้เราเลยจะมาพรีวิวว่าแฟนบอลจะคาดหวังอะไรได้บ้าง และต้องรับมืออย่างไรถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด

Thailand-national-team-AFF-preview-SPACEBAR-Hero.jpg

อีกแค่สองวันเท่านั้นที่ทัพ ‘ช้างศึก’ จะเข้าสู่โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 สำหรับครั้งนี้ทีมชาติไทยจะลงป้องกันแชมป์และเดินหน้าล่าแชมป์สมัยที่ 8  โดยเมื่อปี 2022 ไทยเอาชนะเวียดนามได้ในนัดชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2  คว้าแชมป์สมัยที่ 7 และเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน โดยการแข่งขันจะเริ่มในวันที่ 8 ธันวาคม 2024 และไปจบลงในวันที่ 5 มกราคม 2025 ที่เป็นนัดชิงชนะเลิศนัดที่สอง 

โดยในรอบแบ่งกลุ่มทีมชาติไทยจะอยู่ในกลุ่ม A ร่วมกับทีมชาติมาเลเซีย, ทีมชาติสิงคโปร์, ทีมชาติกัมพูชา และ ทีมชาติติมอร์-เลสเต ซึ่งก็จะประเดิมพบกับ ติมอร์-เลสเตในวันที่ 8 ธันวาคมที่ประเทศเวียดนาม โดยวันนี้ทัพ ‘ช้างศึก’ ก็ได้เดินทางไปถึงเวียดนามแล้วเรียบร้อย ส่วนรายชื่อก็มีการประกาศออกมาแล้วทั้ง 26 คน เนื่องด้วยการแข่งขันรายการนี้ไม่ตรงกับปฏิทิน ฟีฟ่าเดย์ทำให้บรรดาสโมสรใหญ่ๆ ไม่สามารถปล่อยตัวผู้เล่นหลักมาร่วมได้เนื่องจากมีโปรแกรมฟุตบอลไทยลีกนัดตกค้างอยู่ 

วันนี้เราเลยจะมาพรีวิวทีมชาติไทยก่อนเริ่มศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 กันสักหน่อย มาดูกันว่าแฟนบอลจะคาดหวังอะไรได้บ้าง และต้องรับมืออย่างไรถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด

Thailand-national-team-AFF-preview-SPACEBAR-Photo02.jpg

ทำความเข้าใจ คาดหวังพอประมาณก็จะรับมือได้ 

ประเด็นแรกต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่ารายการชิงแชมป์อาเซียน 2024 นั้นไม่ตรงกับปฏิทินฟีฟ่าเดย์ หรือการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการเหมือนกับช่วงคิงส์คัพ 2024 ที่ผ่านมา ดังนั้นการปล่อยตัวผู้เล่นมาติดทีมชาติก็จะได้มาแบบไม่ครบแน่นอน โดยเฉพาะทีมที่มีโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกนัดตกค้างอยู่อย่างเช่น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็จะไม่ปล่อยผู้เล่นตัวหลักๆ ออกมา เช่นเดียวกันกับทีมชาติอื่น เช่น ทีมชาติอินโดนีเซียที่พักหลังๆ ทีมชุดใหญ่ของพวกเขาจะมีผู้เล่นลูกครึ่งที่ลงแข่งในลีกยุโรปอยู่หลายคนก็ไม่ได้มาร่วมลงแข่งรายการนี้เช่นกัน และทีมอินโดนีเซียเองก็เต็มไปด้วยผู้เล่นที่อายุต่ำกว่า 23 ปีทั้งสิ้น 

โดยถ้ามาไล่เรียงดูดีๆ แล้วรายชื่อทีมชาติไทยที่ มาซาทาดะ อิชิอิ เรียกมาในครั้งนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ดูขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย เริ่มตั้งแต่ผู้รักษาประตูอย่าง ปฏิวัติ คำไหม, กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล และ กรกฎ พิพัฒน์นัดดา ต่อกันด้วยกองหลังที่นำมาโดยพรรษา เหมวิบูลย์, นิโคลัส มิคเกลสัน, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ รวมไปถึงอีกสองคนที่ฟอร์มดีจากการอุ่นเครื่องเมื่อเดือนที่แล้วอย่าง ศฤงคาร พรมสุภะ และ ทิตาธร อักษรศรี ทางด้านกองกลางก็มีทั้ง สุภโชค สารชาติ, เอกนิษฐ์ ปัญญา, วีระเทพ ป้อมพันธุ์, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี และ อนันต์ ยอดสังวาลย์ เป็นต้น ปิดท้ายที่กองหน้าสามคนก็คือ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, ธีรศักดิ์ เผยพิมาย และ พาตริก กุสตาฟส์สัน 

จากรายชื่อที่ไล่เรียงมาบวกกับฟอร์มตลอดเวลาที่ทำทีมมาของ มาซาทาดะ อิชิอิ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น คิดว่าอย่างไรก็น่าจะพอมีลุ้นไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เพราะจากเหตุผลแรกคือกลุ่ม A ที่เราอยู่ก็ไม่ได้มีชาติที่แข็งเท่ากับอีกกลุ่ม แข็งสุดก็คงน่าจะเป็นทีมชาติมาเลเซีย โดยทีมชาติเวียดนามและทีมชาติอินโดนีเซียที่พอฟัดพอเหวี่ยงก็ไปอยู่ในกลุ่ม B ดังนั้นถ้ามองถึงการคาดหวังอย่างน้อยก็คือต้องไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และถ้าแบบสุดๆ แน่นอนเลยก็คือการคว้าแชมป์สมัยที่ 8  

ปิดท้ายกันด้วยถ้าสมมุติว่าเราไม่ได้แชมป์ควรรู้สึกอย่างไร ในส่วนนี้ต้องบอกว่าถ้า ณ วันนี้เราอยากเห็นทีมชาติไทยเติบโตไปได้ไกลกว่านี้เราอาจจะต้องเริ่มมองข้ามการแข่งขันในระดับอาเซียนกันบ้างแล้วและเดินหน้าโฟกัสในระดับเอเชียให้มากขึ้น เพราะในปีหน้าเรายังมีศึกใหญ่สำคัญอย่างการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือกรอบที่สามที่จะหาอีก 6 ทีมไปเล่นรอบสุดท้ายในปี 2027 โดยนัดแรกจะเริ่มแข่งขันกันในวันที่ 25 มีนาคม 2025 ซึ่งทัพ ‘ช้างศึก’ อยู่ในโถที่ 1 ของการจับสลาก แต่อย่างไรก็ดีอย่างน้อยสิ่งที่เราควรไปถึงในครั้งนี้ให้ได้ก็คือรอบรองชนะเลิศ เพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าเรามีพัฒนาการมากขึ้นและจะทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก สุดท้ายแฟนบอลอย่างเราๆ ทุกคนก็จะยังเป็นกำลังใจสำคัญของทีมชาติไทยเสมอ ดังนั้นนัดแรกวันที่ 8 ธันวาคมนี้อย่าลืมมาให้กำลังใจช้างศึกกันต่อไปครับ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์