งานวิจัยปี 2019 เคยเตือนว่าอินเดียกับปากีสถานจะทำสงครามนิวเคลียร์กันปีนี้

7 พ.ค. 2568 - 07:22

  •   ชาวโลกจับตาอินเดียกับปากีสถานที่ต่างก็ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จะขนอาวุธนิวเคลียร์มาถล่มกัน

  • บทความวิจัยปี 2019 ที่ตีพิมพ์โดย Routledge กำลังได้รับความสนใจอีกครั้ง การศึกษาดังกล่าวคาดการณ์ไวอย่างน่าขนลุกว่าจะเกิดความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 2025

  • งานวิจัยชิ้นนี้คาดการณ์ว่า ผู้คนเสียชีวิตทันที 50-125 ล้านคน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาวุธ

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่ดำเนินมาถึงขั้นที่อินเดียเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีปากีสถาน ในขณะที่ชาวโลกต่างก็กังวลว่าประเทศที่ต่างก็ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จะขนอาวุธนิวเคลียร์มาถล่มกัน  


บทความวิจัยปี 2019 ที่ตีพิมพ์โดย Routledge กำลังได้รับความสนใจอีกครั้ง การศึกษาดังกล่าวคาดการณ์ไวอย่างน่าขนลุกว่าจะเกิดความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 2025 ซึ่งเกิดจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก 

สงครามจะเริ่มอย่างไร 

นักวิจัยตั้งทฤษฎีว่าการโจมตีครั้งใหญ่ของกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งในตอนแรกคาดว่าเป็นการโจมตีรัฐสภาอินเดีย จะกระตุ้นให้อินเดียระดมทหารไปตามเส้นแบ่งแขตควบคุม (Line of Control) ที่แบ่งพื้นที่แคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ส่งผลให้ปากีสถานตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน เมื่อความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้น การปะทะกันและการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

“เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2002 ทั้งสองฝ่ายต่างก็เคลื่อนกำลังและส่งทหารเข้าประจำการในพื้นที่...เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย”

งานวิจัยระบุ

การใช้อาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก 
 

งานวิจัยระบุว่า เมื่อกองกำลังของอินเดียเริ่มรุกคืบเข้าไปในดินแดนของปากีสถาน นายพลของปากีสถานซึ่งกลัวว่าจะพ่ายแพ้หากใช้อาวุธดั้งเดิม ก็หันไปใช้อาวุธนิวเคลียร์ 

วันที่ 1: ปากีสถานใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี (tactical nuclear weapons) ซึ่งแต่ละชิ้นมีพลังทำลายล้าง 5 กิโลตัน จากภายในพรมแดนของตัวเองต่อรถถังของอินเดีย  
 

วันที่ 2: ปากีสถานยิงอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีอีก 15 ลูก อินเดียตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี 20 ลูกโจมตีฐานทัพทหารปากีสถาน และคลังอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้และกลุ่มควันคล้ายกับที่เกิดขึ้นหลังการทิ้งระเบิดถล่มฮิโรชิมา หรือเหตุไฟไหม้หลังแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกเมื่อปี 1906 

สงครามขยายวงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง 

 แทนที่จะหยุดสงคราม การเพิ่มระดับสงครามของอินเดียนำมาสู่สถานการณ์เลวร้ายในวันที่ 3 

 ปากีสถานตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศ 30 ครั้งเหนือฐานทัพเรือและสนามบินในเมืองของอินเดีย รวมทั้งโจมตีทางยุทธวิธีอีก 15 ครั้ง 

 ส่วนอินเดียโต้กลับด้วยการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ต่อฐานทัพทหารปากีสถาน 10 แห่งในเมืองต่างๆ 

 รายงานฉบับนี้บรรยายถึงปฏิกิริยาลูกโซ่อันเลวร้าย ได้แก่ ความโกรธ ความตื่นตระหนก การสื่อสารที่ผิดพลาด และพิธีการที่เข้มงวดเกินไประหว่างทั้งสองฝ่ายที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนอาวุธนิวเคลียร์แบบเต็มรูปแบบ 

ในอีก 3 วันต่อมา ปากีสถานจะใช้คลังอาวุธยุทธศาสตร์ทั้งหมดที่มีถึง 120 ลูก โจมตีเมืองต่างๆ ในอินเดีย อินเดียตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศด้วยอาวุธนิวเคลียร์ 70 ลูก และจะเก็บอาวุธนิวเคลียร์อีก 100 ลูกไว้ป้องกันการโจมตีจากจีน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากอินเดียไม่สามารถป้องปรามปากีสถานได้แล้ว 

 
ผลกระทบทั่วโลก: ผู้คนเสียชีวิตหลายล้าน อีกเป็นพันล้านได้รับผลกระทบ  
 

สมมติว่าทั้งสองประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์ประมาณ 250 ลูก นักวิจัยเตือนว่าอาจเกิดผลร้ายแรงตามมาดังนี้

  • ผู้คนเสียชีวิตทันที 50-125 ล้านคน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาวุธ 
  • เมืองหลักของทั้งอินเดียและปากีสถานถูกทำลายทั้งหมดหรือไม่สามารถอยู่อาศัยได้ 
  • โครงสร้างพื้นฐานพังทลายทั้งการดูแลสุขภาพ การขนส่ง พลังงาน และการเงิน 

แต่ความเสียหายไม่หยุดอยู่แค่นี้ ผลกระทบต่อสภาพอากาศจากควันและพายุไฟจะส่งผลกระทบต่อทั้งโลก ส่งผลให้เกิดภาวะอดอยากที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพันล้านคน 

งานวิจัยสรุปว่า “ผลที่ตามมาจะยิ่งใหญ่และมีขอบเขตทั่วโลก” 

Photo by TAUSEEF MUSTAFA / AFP 
 
 

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์