คุณเชื่อเรื่องผีไหม? เปิดหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบหมดทุกข้อสงสัยว่า ‘ผีมีจริงหรือเปล่า’

16 พ.ย. 2565 - 07:04

  • ‘ผีอำ’ หรือโรคลมหลับ (sleep paralysis) เหมือนร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีคนมาทับ และอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น

  • สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ที่เข้าไปมีปฏิกิริยากับกลีบขมับของสมอง อาจทำให้เห็นภาพหลอนได้

5-Scientific-reasons-explain-ghost-SPACEBAR-Main
คุณเชื่อเรื่องผีไหม? คำถามนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าไม่เจอกับตัวก็ไม่มีทางรู้หรอก ใครหลายคนมักบอกว่า พวกเขาเชื่อนะ แต่เชื่อ 50% เพราะอีกใจหนึ่งก็ไม่ได้อยากลบหลู่ แต่ก็มีคนหลายกลุ่มเช่นเดียวกันที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งพวกเขาก็มักพิสูจน์ด้วยการ ‘ล่าท้าผี’ ตามสถานที่ร้างหรือปิดตายไปแล้ว  

บ้างก็บอกว่า “พวกเขาเจอดีเข้าให้แล้ว” บ้างก็บอกว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เมื่อมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้มาไม่เหมือนกัน อาจจะกล่าวตามความเชื่อว่า คนนี้จิตอ่อน ก็เลยโดนผีหลอกง่าย แต่คนนี้จิตแข็งเลยมองไม่เห็นผี 

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณก็ยังคงมีอิทธิพลในปัจจุบัน อาทิ ถ้าได้ยินเสียงร้องทักตอนกลางคืนห้ามขานรับ เพราะเป็นเสียงของวิญญาณอาจจะมาหลอกหรือเป็นการเชิญให้เข้าบ้าน ถ้าได้กลิ่นธูปตอนกลางคืน คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนในครอบครัวมาหา หรือความเชื่อเกี่ยวกับ “ทางสามแพร่ง” ที่สิงสถิตของวิญญาณตายโหงและที่อยู่ของเหล่าภูตผี เป็นต้น 

จากการสำรวจในปี 2017 โดยมหาวิทยาลัยแชปแมน พบว่า ผู้คนจำนวนมากเชื่อเรื่องผีอย่างน่าประหลาดใจ กว่า 52% ของชาวอเมริกันเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ราว 11 % และกว่า 18% ของคนอเมริกันมักพูดได้เต็มปากว่าเคยติดต่อกับผีมาแล้ว  

“ฉันยอมรับนะว่าบางทีฉันก็แอบคิดว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ ทุกครั้งที่สุนัขของฉันเห่าไม่หยุดที่มุมว่างเปล่าของบ้าน” ชาวอเมริกันรายหนึ่งแสดงความคิดเห็น 

ในปี 2019 พบว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คน หรือประมาณ 41% เชื่อเรื่องผี และมากกว่า 46% เห็นด้วยว่ามีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ  

และในปี 2021 พบว่า 2 ใน 5 ของคนอเมริกันเชื่อว่าผีมีอยู่จริง และ 1 ใน 5 กล่าวว่า พวกเขาได้เห็นผีจริงๆ  

นอกจากนี้ทาง YouGov ได้เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใหญ่ประมาณ 1,000 คน พบว่า ไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันทุกคนที่เชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเพียงเรื่องเล่า กว่า 43% กล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่าปีศาจมีอยู่จริง และ 8 - 9% กล่าวว่า มีมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์อยู่ด้วย 

จริงๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายหลายครั้งว่า “ผีไม่มีจริง” และเป็นเพียงแค่ “กลุ่มพลังงาน” แต่ใครหลายคนที่เจอกับตัวก็มักจะค้านกับหลักการนี้อย่างสุดขีด ทั้งนี้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/49cAIQAreJ3yaEeNvJa0Dg/ece3f3e86feb6806170dade31ab2acd0/5-Scientific-reasons-explain-ghost-SPACEBAR-Photo02
Photo: Photo: Wikipedia
แต่อะไรทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ามีวิญญาณอยู่ต่อหน้าเรา มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปได้หรือไม่สำหรับความรู้สึกเสียวสันหลังวาบแบบไม่รู้ตัว และเหล่านี้คือ คำอธิบายและเหตุผลที่เป็นไปได้ 5 ประการสำหรับความรู้สึกเหนือธรรมชาติที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ 

 

‘โรคลมหลับ (sleep paralysis) หรือ ผีอำ’ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2uBe78s44n3nDSwJBWkCty/c357b95dc9c9956dfc2c0eacbfe67355/5-Scientific-reasons-explain-ghost-SPACEBAR-Photo03
Photo: Photo: Wikipedia

สำหรับคนที่บอกว่าเคยโดน ‘ผีอำ’ ระหว่างที่นอน คงไม่มีคำอธิบายหรือทฤษฎีใดที่จะตรงได้เท่ากับโรคลมหลับ (sleep paralysis) ได้อีกแล้ว โดยผู้ที่มีอาการของโรคนี้ส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัวแบบเฉียบพลัน รู้สึกหมดแรง ขยับแขนขาหรือพูดไม่ได้ รวมไปถึงมีอาการหายใจลำบาก รู้สึกเหมือนมีคนมาทับ และอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ซึ่งอาการเหล่านี้จะมาแบบชั่วครั้งชั่วคราว  

แม้ใครหลายๆ คนจะบอกว่าอาการแบบนี้เรียกว่าผีอำ แต่ในหลักวิทยาศาสตร์ก็สามารถอธิบายอาการนี้ได้ว่า มันเป็นเพียงภาวะร่างกายที่กำลังเข้าสู่ห้วงการหลับทั้งๆ ที่จิตสำนึกยังตื่นอยู่ ทำให้รู้สึกขยับตัวไม่ได้เหมือนคนเป็นอัมพาต 
 

‘สนามแม่เหล็กไฟฟ้า’ 


สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) สามารถอธิบายได้ว่า “ทำไมคนถึงเห็นผีในบ้านของพวกเขา” โดยเฉพาะในห้องนอนนั้น วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากคลื่นไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กที่อาจมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง 

‘ไมเคิล เพอร์ซิงเกอร์’ นักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทวิทยาจากแคนาดา พบว่า การที่กลีบขมับของสมองสัมผัสกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ จะทำให้เกิดประสบการณ์หลอนๆ เช่น ความรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง การถูกสัมผัส ทั้งนี้ มีรายงานว่า พบสนามแม่เหล็กที่มีความผิดปกติในสถานที่ที่เล่าลือกันว่ามีผีสิงมากที่สุด อย่างพระราชวังแฮมป์ตันคอร์ต ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
 

‘Pareidolia หรือ แพริโดเลีย ปรากฏการณ์เห็นสิ่งของเป็นหน้าคน’ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/78cMTgzQVU3Q0x577Ge9RU/e87e4bd165a271ecee91c2db7a60958e/5-Scientific-reasons-explain-ghost-SPACEBAR-Photo04
Photo: ภาพถ่ายดาวเทียมของภูเขายอดตัดหรือยอดเรียบ (Mesa) ในภูมิภาค ‘Cydonia’ ของดาวอังคาร ซึ่งมักเรียกกันว่า “Face on Mars” | Photo: Wikipedia
‘Pareidolia หรือ แพริโดเลีย / แพไรโดเลีย’ มาจากภาษากรีก แปลว่า อะไรที่บกพร่อง ผิดพลาด ถ้าตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้วสามารถอธิบายได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางจิตในการรับรู้สิ่งเร้า เช่น ภาพหรือเสียงที่ไม่ชัดเจนหรือไม่มีรูปแบบ  

แต่ทฤษฎีนี้กลับนำมาเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาได้ อาทิ การเห็นใบหน้าของบุคคลสำคัญปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า การเห็นรูปพระเยซู พระแม่มารี สัตว์ในตำนาน หรือเครื่องหมายทางศาสนาปรากฏขึ้นจากก้อนเมฆ ก้อนหิน ใบไม้ เป็นต้น 

สำหรับกรณี Pareidolia ที่โด่งดังที่สุดนั้น เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ เมื่อปี 2004  คือ แซนด์วิชชีสปิ้งที่มีรูปคล้ายกับพระแม่มารี ซึ่งมีการซื้อขายผ่านการประมูลได้ราคาถึง 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,100,000 บาท 
 

‘การเปลี่ยนแปลงของพลังงาน’ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4DpwU4f99eJeVPLUvKPl0j/e134edb07a2e93a9107709ed7cedec1c/5-Scientific-reasons-explain-ghost-SPACEBAR-Photo05
Photo: Photo: Wikipedia
จากบทความของ NBC News เรื่อง ‘Do Einstein's Laws Prove Ghosts Exist?’ ‘จอห์น คาชูบา’ นักวิจัยเรื่องผี กล่าวว่า “ไอน์สไตน์กำหนดว่าพลังงานทั้งหมดในจักรวาลนั้นคงที่และไม่สามารถสร้างหรือทำลายได้  

แล้วเมื่อเราตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานนั้น? ถ้าทำลายไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นพลังงานประเภทอื่น เกิดอะไรขึ้นกับพลังที่เพิ่งค้นพบนี้? สิ่งมีชีวิตใหม่นี้เรียกว่าผีได้ไหม?” 

เมื่อสิ่งมีชีวิตตายไป พลังงานของมันจะถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งเป็นจริงสำหรับสัตว์ทุกชนิด ซากศพที่เน่าเปื่อยจนทิ้งสารอาหารไว้ในดินซึ่งอาจถูกสัตว์และแมลงหรือพืชดูดเข้าไป จากนั้นพลังงานนี้จะถูกส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ 

ปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่มากว่า สรุปแล้วพลังงานของคนคนหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปหลังจากที่ร่างกายของพวกเขาล่วงลับไปแล้วได้นานแค่ไหน? 

แม้ว่าผีอาจมีจะอยู่จริง แต่อย่างไรก็ดีกฎฟิสิกส์ของไอน์สไตน์หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาก็ไม่ได้บอกเป็นนัยเช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง 

 

‘เครื่องตรวจจับไอออนลบ’ 


โดยธรรมชาติแล้ว ไอออนลบ คือ อะตอมที่อิ่มตัวแล้ว ไม่ต้องการอิเล็กตรอนใดๆ มาเพิ่มอีก ในทางกลับกันไอออนบวก คือ อะตอมที่ต้องการอิเล็กตรอนมาเติมเต็มให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากร่างกายได้รับไอออนบวกในปริมาณมากๆ จะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่าย 

ในทางตรงกันข้าม คนอื่นมักบอกว่าผีใช้พลังงานของไอออนเพื่อแสดงตัวหรือมีปฏิกิริยากับทางโลก แต่ตามหลักการแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อประสิทธิภาพการตรวจจับผีด้วยเครื่องวัดไอออน  

ทั้งนี้ ไอออนเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทุกประเภท เช่น สภาพอากาศ การแผ่รังสีดวงอาทิตย์ และก๊าซเรดอน เป็นต้น 

ตามหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไอออนบวกและไอออนลบสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของสิ่งมีชีวิตได้ โดยไอออนลบจะทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย ในขณะที่ไอออนบวกอาจทำให้เราปวดหัวและคลื่นไส้  

นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ‘ผีสิง’ ถึงพูดถึงความเหนื่อยล้า ปวดหัว และเจ็บป่วยบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่าเมื่อพวกเขาอาจรู้สึกถึงความไม่สมดุลของไอออน หรือพวกเขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องของอาถรรพณ์ก็เป็นได้ 

นักสืบอาถรรพณ์ หรือ นักล่าท่าผี หันมาใช้เครื่องตรวจจับไอออนลบ (NID) เพิ่มมากขึ้น แต่ก็พบว่า เครื่องตรวจจับนี้มีข้อบกพร่องและมักจะไม่แม่นยำมากเท่าที่ควร เนื่องจาก ตัวเครื่องจะนับไอออนในอากาศ ซึ่งวัดจำนวนไอออนบวกและไอออนลบในอากาศ หากพบว่า สถานที่ใดมีปริมาณไอออนบวกในปริมาณที่สูง หมายความว่า ที่แห่งนั้นมีผีนั่นเอง 

น่าเสียดายที่เครื่องตรวจจับไอออนลบสามารถบอกคุณได้เฉพาะความเข้มข้นของไอออนลบเท่านั้น และจะไม่มีการกล่าวถึงไอออนบวก (สภาพแวดล้อมที่มีผี) ทำให้นักวิจัยบางคนเลือกใช้เครื่องตรวจจับไอออนแบบอเนกประสงค์แทน 

และเหล่านี้อาจเป็นคำอธิบายที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการเห็นผี หรือ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งนี้ แต่ละวัฒนธรรมต่างก็มีการตีความผีที่แตกต่างกันไปและทำไมพวกเขาถึงปรากฏตัวเพื่อหลอกหลอนผู้คน ดังนั้น ไม่ว่าวัฒนธรรมความเชื่อของเราจะคิดอย่างไร ในอีกแง่มุมหนึ่ง วิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบและคำอธิบายสำหรับข้อสงสัยของคุณด้วยเช่นกัน 

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน แม้วิทยาศาสตร์จะมีหลักการมาอธิบายเรื่องผีได้ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณและเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงที่อธิบายไม่ได้ก็มีอิทธิพลมากในปัจจุบันเช่นเดียวกัน แล้วคุณล่ะเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า? คุณมีหลักการอะไรมาอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้? 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์