คุณเชื่อเรื่องผีไหม? คำถามนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าไม่เจอกับตัวก็ไม่มีทางรู้หรอก ใครหลายคนมักบอกว่า พวกเขาเชื่อนะ แต่เชื่อ 50% เพราะอีกใจหนึ่งก็ไม่ได้อยากลบหลู่ แต่ก็มีคนหลายกลุ่มเช่นเดียวกันที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งพวกเขาก็มักพิสูจน์ด้วยการ ‘ล่าท้าผี’ ตามสถานที่ร้างหรือปิดตายไปแล้ว
บ้างก็บอกว่า “พวกเขาเจอดีเข้าให้แล้ว” บ้างก็บอกว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เมื่อมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้มาไม่เหมือนกัน อาจจะกล่าวตามความเชื่อว่า คนนี้จิตอ่อน ก็เลยโดนผีหลอกง่าย แต่คนนี้จิตแข็งเลยมองไม่เห็นผี
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณก็ยังคงมีอิทธิพลในปัจจุบัน อาทิ ถ้าได้ยินเสียงร้องทักตอนกลางคืนห้ามขานรับ เพราะเป็นเสียงของวิญญาณอาจจะมาหลอกหรือเป็นการเชิญให้เข้าบ้าน ถ้าได้กลิ่นธูปตอนกลางคืน คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนในครอบครัวมาหา หรือความเชื่อเกี่ยวกับ “ทางสามแพร่ง” ที่สิงสถิตของวิญญาณตายโหงและที่อยู่ของเหล่าภูตผี เป็นต้น
จากการสำรวจในปี 2017 โดยมหาวิทยาลัยแชปแมน พบว่า ผู้คนจำนวนมากเชื่อเรื่องผีอย่างน่าประหลาดใจ กว่า 52% ของชาวอเมริกันเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ราว 11 % และกว่า 18% ของคนอเมริกันมักพูดได้เต็มปากว่าเคยติดต่อกับผีมาแล้ว
“ฉันยอมรับนะว่าบางทีฉันก็แอบคิดว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ ทุกครั้งที่สุนัขของฉันเห่าไม่หยุดที่มุมว่างเปล่าของบ้าน” ชาวอเมริกันรายหนึ่งแสดงความคิดเห็น
ในปี 2019 พบว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คน หรือประมาณ 41% เชื่อเรื่องผี และมากกว่า 46% เห็นด้วยว่ามีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ
และในปี 2021 พบว่า 2 ใน 5 ของคนอเมริกันเชื่อว่าผีมีอยู่จริง และ 1 ใน 5 กล่าวว่า พวกเขาได้เห็นผีจริงๆ
นอกจากนี้ทาง YouGov ได้เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใหญ่ประมาณ 1,000 คน พบว่า ไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันทุกคนที่เชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเพียงเรื่องเล่า กว่า 43% กล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่าปีศาจมีอยู่จริง และ 8 - 9% กล่าวว่า มีมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์อยู่ด้วย
จริงๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายหลายครั้งว่า “ผีไม่มีจริง” และเป็นเพียงแค่ “กลุ่มพลังงาน” แต่ใครหลายคนที่เจอกับตัวก็มักจะค้านกับหลักการนี้อย่างสุดขีด ทั้งนี้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์
บ้างก็บอกว่า “พวกเขาเจอดีเข้าให้แล้ว” บ้างก็บอกว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เมื่อมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้มาไม่เหมือนกัน อาจจะกล่าวตามความเชื่อว่า คนนี้จิตอ่อน ก็เลยโดนผีหลอกง่าย แต่คนนี้จิตแข็งเลยมองไม่เห็นผี
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณก็ยังคงมีอิทธิพลในปัจจุบัน อาทิ ถ้าได้ยินเสียงร้องทักตอนกลางคืนห้ามขานรับ เพราะเป็นเสียงของวิญญาณอาจจะมาหลอกหรือเป็นการเชิญให้เข้าบ้าน ถ้าได้กลิ่นธูปตอนกลางคืน คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนในครอบครัวมาหา หรือความเชื่อเกี่ยวกับ “ทางสามแพร่ง” ที่สิงสถิตของวิญญาณตายโหงและที่อยู่ของเหล่าภูตผี เป็นต้น
จากการสำรวจในปี 2017 โดยมหาวิทยาลัยแชปแมน พบว่า ผู้คนจำนวนมากเชื่อเรื่องผีอย่างน่าประหลาดใจ กว่า 52% ของชาวอเมริกันเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ราว 11 % และกว่า 18% ของคนอเมริกันมักพูดได้เต็มปากว่าเคยติดต่อกับผีมาแล้ว
“ฉันยอมรับนะว่าบางทีฉันก็แอบคิดว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ ทุกครั้งที่สุนัขของฉันเห่าไม่หยุดที่มุมว่างเปล่าของบ้าน” ชาวอเมริกันรายหนึ่งแสดงความคิดเห็น
ในปี 2019 พบว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คน หรือประมาณ 41% เชื่อเรื่องผี และมากกว่า 46% เห็นด้วยว่ามีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ
และในปี 2021 พบว่า 2 ใน 5 ของคนอเมริกันเชื่อว่าผีมีอยู่จริง และ 1 ใน 5 กล่าวว่า พวกเขาได้เห็นผีจริงๆ
นอกจากนี้ทาง YouGov ได้เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใหญ่ประมาณ 1,000 คน พบว่า ไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันทุกคนที่เชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเพียงเรื่องเล่า กว่า 43% กล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่าปีศาจมีอยู่จริง และ 8 - 9% กล่าวว่า มีมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์อยู่ด้วย
จริงๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายหลายครั้งว่า “ผีไม่มีจริง” และเป็นเพียงแค่ “กลุ่มพลังงาน” แต่ใครหลายคนที่เจอกับตัวก็มักจะค้านกับหลักการนี้อย่างสุดขีด ทั้งนี้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์

แต่อะไรทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ามีวิญญาณอยู่ต่อหน้าเรา มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปได้หรือไม่สำหรับความรู้สึกเสียวสันหลังวาบแบบไม่รู้ตัว และเหล่านี้คือ คำอธิบายและเหตุผลที่เป็นไปได้ 5 ประการสำหรับความรู้สึกเหนือธรรมชาติที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์
‘โรคลมหลับ (sleep paralysis) หรือ ผีอำ’

สำหรับคนที่บอกว่าเคยโดน ‘ผีอำ’ ระหว่างที่นอน คงไม่มีคำอธิบายหรือทฤษฎีใดที่จะตรงได้เท่ากับโรคลมหลับ (sleep paralysis) ได้อีกแล้ว โดยผู้ที่มีอาการของโรคนี้ส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัวแบบเฉียบพลัน รู้สึกหมดแรง ขยับแขนขาหรือพูดไม่ได้ รวมไปถึงมีอาการหายใจลำบาก รู้สึกเหมือนมีคนมาทับ และอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ซึ่งอาการเหล่านี้จะมาแบบชั่วครั้งชั่วคราว
แม้ใครหลายๆ คนจะบอกว่าอาการแบบนี้เรียกว่าผีอำ แต่ในหลักวิทยาศาสตร์ก็สามารถอธิบายอาการนี้ได้ว่า มันเป็นเพียงภาวะร่างกายที่กำลังเข้าสู่ห้วงการหลับทั้งๆ ที่จิตสำนึกยังตื่นอยู่ ทำให้รู้สึกขยับตัวไม่ได้เหมือนคนเป็นอัมพาต
‘สนามแม่เหล็กไฟฟ้า’
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) สามารถอธิบายได้ว่า “ทำไมคนถึงเห็นผีในบ้านของพวกเขา” โดยเฉพาะในห้องนอนนั้น วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากคลื่นไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กที่อาจมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง
‘ไมเคิล เพอร์ซิงเกอร์’ นักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทวิทยาจากแคนาดา พบว่า การที่กลีบขมับของสมองสัมผัสกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ จะทำให้เกิดประสบการณ์หลอนๆ เช่น ความรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง การถูกสัมผัส ทั้งนี้ มีรายงานว่า พบสนามแม่เหล็กที่มีความผิดปกติในสถานที่ที่เล่าลือกันว่ามีผีสิงมากที่สุด อย่างพระราชวังแฮมป์ตันคอร์ต ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
‘Pareidolia หรือ แพริโดเลีย ปรากฏการณ์เห็นสิ่งของเป็นหน้าคน’

‘Pareidolia หรือ แพริโดเลีย / แพไรโดเลีย’ มาจากภาษากรีก แปลว่า อะไรที่บกพร่อง ผิดพลาด ถ้าตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้วสามารถอธิบายได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางจิตในการรับรู้สิ่งเร้า เช่น ภาพหรือเสียงที่ไม่ชัดเจนหรือไม่มีรูปแบบ
แต่ทฤษฎีนี้กลับนำมาเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาได้ อาทิ การเห็นใบหน้าของบุคคลสำคัญปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า การเห็นรูปพระเยซู พระแม่มารี สัตว์ในตำนาน หรือเครื่องหมายทางศาสนาปรากฏขึ้นจากก้อนเมฆ ก้อนหิน ใบไม้ เป็นต้น
สำหรับกรณี Pareidolia ที่โด่งดังที่สุดนั้น เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ เมื่อปี 2004 คือ แซนด์วิชชีสปิ้งที่มีรูปคล้ายกับพระแม่มารี ซึ่งมีการซื้อขายผ่านการประมูลได้ราคาถึง 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,100,000 บาท
แต่ทฤษฎีนี้กลับนำมาเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาได้ อาทิ การเห็นใบหน้าของบุคคลสำคัญปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า การเห็นรูปพระเยซู พระแม่มารี สัตว์ในตำนาน หรือเครื่องหมายทางศาสนาปรากฏขึ้นจากก้อนเมฆ ก้อนหิน ใบไม้ เป็นต้น
สำหรับกรณี Pareidolia ที่โด่งดังที่สุดนั้น เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ เมื่อปี 2004 คือ แซนด์วิชชีสปิ้งที่มีรูปคล้ายกับพระแม่มารี ซึ่งมีการซื้อขายผ่านการประมูลได้ราคาถึง 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,100,000 บาท
‘การเปลี่ยนแปลงของพลังงาน’

จากบทความของ NBC News เรื่อง ‘Do Einstein's Laws Prove Ghosts Exist?’ ‘จอห์น คาชูบา’ นักวิจัยเรื่องผี กล่าวว่า “ไอน์สไตน์กำหนดว่าพลังงานทั้งหมดในจักรวาลนั้นคงที่และไม่สามารถสร้างหรือทำลายได้
แล้วเมื่อเราตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานนั้น? ถ้าทำลายไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นพลังงานประเภทอื่น เกิดอะไรขึ้นกับพลังที่เพิ่งค้นพบนี้? สิ่งมีชีวิตใหม่นี้เรียกว่าผีได้ไหม?”
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายไป พลังงานของมันจะถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งเป็นจริงสำหรับสัตว์ทุกชนิด ซากศพที่เน่าเปื่อยจนทิ้งสารอาหารไว้ในดินซึ่งอาจถูกสัตว์และแมลงหรือพืชดูดเข้าไป จากนั้นพลังงานนี้จะถูกส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่มากว่า สรุปแล้วพลังงานของคนคนหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปหลังจากที่ร่างกายของพวกเขาล่วงลับไปแล้วได้นานแค่ไหน?
แม้ว่าผีอาจมีจะอยู่จริง แต่อย่างไรก็ดีกฎฟิสิกส์ของไอน์สไตน์หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาก็ไม่ได้บอกเป็นนัยเช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง
โดยธรรมชาติแล้ว ไอออนลบ คือ อะตอมที่อิ่มตัวแล้ว ไม่ต้องการอิเล็กตรอนใดๆ มาเพิ่มอีก ในทางกลับกันไอออนบวก คือ อะตอมที่ต้องการอิเล็กตรอนมาเติมเต็มให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากร่างกายได้รับไอออนบวกในปริมาณมากๆ จะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่าย
ในทางตรงกันข้าม คนอื่นมักบอกว่าผีใช้พลังงานของไอออนเพื่อแสดงตัวหรือมีปฏิกิริยากับทางโลก แต่ตามหลักการแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อประสิทธิภาพการตรวจจับผีด้วยเครื่องวัดไอออน
ทั้งนี้ ไอออนเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทุกประเภท เช่น สภาพอากาศ การแผ่รังสีดวงอาทิตย์ และก๊าซเรดอน เป็นต้น
ตามหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไอออนบวกและไอออนลบสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของสิ่งมีชีวิตได้ โดยไอออนลบจะทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย ในขณะที่ไอออนบวกอาจทำให้เราปวดหัวและคลื่นไส้
นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ‘ผีสิง’ ถึงพูดถึงความเหนื่อยล้า ปวดหัว และเจ็บป่วยบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่าเมื่อพวกเขาอาจรู้สึกถึงความไม่สมดุลของไอออน หรือพวกเขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องของอาถรรพณ์ก็เป็นได้
นักสืบอาถรรพณ์ หรือ นักล่าท่าผี หันมาใช้เครื่องตรวจจับไอออนลบ (NID) เพิ่มมากขึ้น แต่ก็พบว่า เครื่องตรวจจับนี้มีข้อบกพร่องและมักจะไม่แม่นยำมากเท่าที่ควร เนื่องจาก ตัวเครื่องจะนับไอออนในอากาศ ซึ่งวัดจำนวนไอออนบวกและไอออนลบในอากาศ หากพบว่า สถานที่ใดมีปริมาณไอออนบวกในปริมาณที่สูง หมายความว่า ที่แห่งนั้นมีผีนั่นเอง
น่าเสียดายที่เครื่องตรวจจับไอออนลบสามารถบอกคุณได้เฉพาะความเข้มข้นของไอออนลบเท่านั้น และจะไม่มีการกล่าวถึงไอออนบวก (สภาพแวดล้อมที่มีผี) ทำให้นักวิจัยบางคนเลือกใช้เครื่องตรวจจับไอออนแบบอเนกประสงค์แทน
และเหล่านี้อาจเป็นคำอธิบายที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการเห็นผี หรือ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งนี้ แต่ละวัฒนธรรมต่างก็มีการตีความผีที่แตกต่างกันไปและทำไมพวกเขาถึงปรากฏตัวเพื่อหลอกหลอนผู้คน ดังนั้น ไม่ว่าวัฒนธรรมความเชื่อของเราจะคิดอย่างไร ในอีกแง่มุมหนึ่ง วิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบและคำอธิบายสำหรับข้อสงสัยของคุณด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน แม้วิทยาศาสตร์จะมีหลักการมาอธิบายเรื่องผีได้ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณและเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงที่อธิบายไม่ได้ก็มีอิทธิพลมากในปัจจุบันเช่นเดียวกัน แล้วคุณล่ะเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า? คุณมีหลักการอะไรมาอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้?
แล้วเมื่อเราตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานนั้น? ถ้าทำลายไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นพลังงานประเภทอื่น เกิดอะไรขึ้นกับพลังที่เพิ่งค้นพบนี้? สิ่งมีชีวิตใหม่นี้เรียกว่าผีได้ไหม?”
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายไป พลังงานของมันจะถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งเป็นจริงสำหรับสัตว์ทุกชนิด ซากศพที่เน่าเปื่อยจนทิ้งสารอาหารไว้ในดินซึ่งอาจถูกสัตว์และแมลงหรือพืชดูดเข้าไป จากนั้นพลังงานนี้จะถูกส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
ปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่มากว่า สรุปแล้วพลังงานของคนคนหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปหลังจากที่ร่างกายของพวกเขาล่วงลับไปแล้วได้นานแค่ไหน?
แม้ว่าผีอาจมีจะอยู่จริง แต่อย่างไรก็ดีกฎฟิสิกส์ของไอน์สไตน์หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาก็ไม่ได้บอกเป็นนัยเช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง
‘เครื่องตรวจจับไอออนลบ’
โดยธรรมชาติแล้ว ไอออนลบ คือ อะตอมที่อิ่มตัวแล้ว ไม่ต้องการอิเล็กตรอนใดๆ มาเพิ่มอีก ในทางกลับกันไอออนบวก คือ อะตอมที่ต้องการอิเล็กตรอนมาเติมเต็มให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากร่างกายได้รับไอออนบวกในปริมาณมากๆ จะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่าย
ในทางตรงกันข้าม คนอื่นมักบอกว่าผีใช้พลังงานของไอออนเพื่อแสดงตัวหรือมีปฏิกิริยากับทางโลก แต่ตามหลักการแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อประสิทธิภาพการตรวจจับผีด้วยเครื่องวัดไอออน
ทั้งนี้ ไอออนเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทุกประเภท เช่น สภาพอากาศ การแผ่รังสีดวงอาทิตย์ และก๊าซเรดอน เป็นต้น
ตามหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไอออนบวกและไอออนลบสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของสิ่งมีชีวิตได้ โดยไอออนลบจะทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย ในขณะที่ไอออนบวกอาจทำให้เราปวดหัวและคลื่นไส้
นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ‘ผีสิง’ ถึงพูดถึงความเหนื่อยล้า ปวดหัว และเจ็บป่วยบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่าเมื่อพวกเขาอาจรู้สึกถึงความไม่สมดุลของไอออน หรือพวกเขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องของอาถรรพณ์ก็เป็นได้
นักสืบอาถรรพณ์ หรือ นักล่าท่าผี หันมาใช้เครื่องตรวจจับไอออนลบ (NID) เพิ่มมากขึ้น แต่ก็พบว่า เครื่องตรวจจับนี้มีข้อบกพร่องและมักจะไม่แม่นยำมากเท่าที่ควร เนื่องจาก ตัวเครื่องจะนับไอออนในอากาศ ซึ่งวัดจำนวนไอออนบวกและไอออนลบในอากาศ หากพบว่า สถานที่ใดมีปริมาณไอออนบวกในปริมาณที่สูง หมายความว่า ที่แห่งนั้นมีผีนั่นเอง
น่าเสียดายที่เครื่องตรวจจับไอออนลบสามารถบอกคุณได้เฉพาะความเข้มข้นของไอออนลบเท่านั้น และจะไม่มีการกล่าวถึงไอออนบวก (สภาพแวดล้อมที่มีผี) ทำให้นักวิจัยบางคนเลือกใช้เครื่องตรวจจับไอออนแบบอเนกประสงค์แทน
และเหล่านี้อาจเป็นคำอธิบายที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการเห็นผี หรือ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งนี้ แต่ละวัฒนธรรมต่างก็มีการตีความผีที่แตกต่างกันไปและทำไมพวกเขาถึงปรากฏตัวเพื่อหลอกหลอนผู้คน ดังนั้น ไม่ว่าวัฒนธรรมความเชื่อของเราจะคิดอย่างไร ในอีกแง่มุมหนึ่ง วิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบและคำอธิบายสำหรับข้อสงสัยของคุณด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน แม้วิทยาศาสตร์จะมีหลักการมาอธิบายเรื่องผีได้ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อทางโบราณและเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงที่อธิบายไม่ได้ก็มีอิทธิพลมากในปัจจุบันเช่นเดียวกัน แล้วคุณล่ะเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า? คุณมีหลักการอะไรมาอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้?