ถ้าพูดถึงพิพิธภัณฑ์ หลายคนอาจจะคิดว่าต้องเป็นสถานที่เก็บวัตถุโบราณ ของที่ระลึก ตลอดจนข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยต่างๆ ไว้มากมาย แต่รู้หรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีพิพิธภัณฑ์สุดแปลกอยู่หลายแห่งที่เห็นแล้วต้องพูดว่า “แบบนี้ก็มีด้วยหรอ?”
ต่อไปนี้ คือ พิพิธภัณฑ์สุดแปลกแต่มีอยู่จริง 5 แห่ง
อันดับที่ 5 พิพิธภัณฑ์น้ำประปา กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ต่อไปนี้ คือ พิพิธภัณฑ์สุดแปลกแต่มีอยู่จริง 5 แห่ง
อันดับที่ 5 พิพิธภัณฑ์น้ำประปา กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ของบริษัทน้ำประปา เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่แปลกในกรุงปักกิ่งมานานแล้ว ก่อตั้งขึ้นในปี 1908 บริเวณนอกประตูเมืองที่ตงจื่อเหมิน
ตัว ‘ศาลารับน้ำ’ เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป สำหรับนิทรรศการหลักตั้งอยู่ในห้องเครื่องยนต์ไอน้ำเก่า บอกเล่าประวัติศาสตร์สังคมและความสำเร็จด้านวิศวกรรม
ด้านนอกอาคารมีเครื่องสูบน้ำแบบต่างๆ จัดแสดงอยู่รอบๆ ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์ มีวัตถุโบราณราว 130 ชิ้น ซึ่งรวบรวมท่อน้ำขึ้นสนิมและอุปกรณ์วัดระดับน้ำเก่าๆ พร้อมทั้งรูปภาพ 110 รูป โมเดล 40 แบบ และโต๊ะทรายจำลองที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการพัฒนาของน้ำประปาปักกิ่งคั้งแต่ปี 1949 ถึงปลายทศวรรษ 1970 รวมไปถึงการก่อตั้งบริษัท Jingshi Tap Water Co.Ltd ในปี 1908 ตลอดจนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949
อันดับที่ 4 พิพิธภัณฑ์เครื่องตัดหญ้า เมืองเซาท์พอร์ต อังกฤษ
ตัว ‘ศาลารับน้ำ’ เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป สำหรับนิทรรศการหลักตั้งอยู่ในห้องเครื่องยนต์ไอน้ำเก่า บอกเล่าประวัติศาสตร์สังคมและความสำเร็จด้านวิศวกรรม
ด้านนอกอาคารมีเครื่องสูบน้ำแบบต่างๆ จัดแสดงอยู่รอบๆ ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์ มีวัตถุโบราณราว 130 ชิ้น ซึ่งรวบรวมท่อน้ำขึ้นสนิมและอุปกรณ์วัดระดับน้ำเก่าๆ พร้อมทั้งรูปภาพ 110 รูป โมเดล 40 แบบ และโต๊ะทรายจำลองที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการพัฒนาของน้ำประปาปักกิ่งคั้งแต่ปี 1949 ถึงปลายทศวรรษ 1970 รวมไปถึงการก่อตั้งบริษัท Jingshi Tap Water Co.Ltd ในปี 1908 ตลอดจนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949
อันดับที่ 4 พิพิธภัณฑ์เครื่องตัดหญ้า เมืองเซาท์พอร์ต อังกฤษ

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงเครื่องจักรทำสวนอายุกว่า 200 ปี ซึ่งได้รับการบูรณะมาแล้วมากกว่า 300 ชิ้นอีกทั้งยังมีเครื่องตัดหญ้าของบุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และเจ้าหญิงไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์, นักกีตาร์ ‘ไบรอัน เมย์’, นักแสดงตลก ‘พอล โอเกรดี้’ รวมถึง ‘ฌอง อเล็กซานเดอร์’ นักแสดงสาว เป็นต้น
ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ได้กลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานชั้นนำของโลกในด้านเครื่องตัดหญ้าโบราณและเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรทำสวนแบบโบราณอีกด้วย
ภายในพิพิธภัณฑ์ มีตั้งแต่เครื่องตัดหญ้าที่เร็วที่สุดในโลก เครื่องตัดหญ้าพลังงานแสงอาทิตย์เครื่องแรกของโลกไปจนถึงเครื่องตัดหญ้าที่มีความสูงเพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น
อันดับที่ 3 พิพิธภัณฑ์ลึงค์ เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์
ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ได้กลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานชั้นนำของโลกในด้านเครื่องตัดหญ้าโบราณและเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรทำสวนแบบโบราณอีกด้วย
ภายในพิพิธภัณฑ์ มีตั้งแต่เครื่องตัดหญ้าที่เร็วที่สุดในโลก เครื่องตัดหญ้าพลังงานแสงอาทิตย์เครื่องแรกของโลกไปจนถึงเครื่องตัดหญ้าที่มีความสูงเพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น
อันดับที่ 3 พิพิธภัณฑ์ลึงค์ เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

สถานที่จัดแสดงองคชาตและอวัยวะเพศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้รวบรวมองคชาตสัตว์ไว้กว่า 300 ชนิด และของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 100 สายพันธุ์
สำหรับการจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุด คือ องคชาตของวาฬสีน้ำเงินซึ่งมีความยาว 170 เซนติเมตรและหนัก 70 กิโลกรัม ซึ่งได้รับขนานนามว่า “โมบิดิกตัวจริง”
ส่วนองคชาตที่เล็กที่สุดในคอลเล็กชันเป็นของหนูแฮมสเตอร์ที่มีความยาวเพียง 2 มิลลิเมตร จนต้องใช้แว่นขยายเพื่อส่องดู
ในเดือนกรกฎาคม 2021 ทางพิพิธภัณฑ์ได้รับองคชาตของมนุษย์เป็นครั้งแรก และถูกนำมาลดขนาดให้เป็นก้อนสีน้ำตาลอมเทาดองไว้ในขวดฟอร์มาลิน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมีผู้เข้าชมกว่าหลายหมื่นคนต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศมากมาย ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ยังมีเป้าหมายเพื่อให้บุคคลทั่วไปทำการศึกษาด้านลึงค์โดยตรงอีกด้วย
อันดับที่ 2 พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมืองอิเกดะ จังหวัดโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น
สำหรับการจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุด คือ องคชาตของวาฬสีน้ำเงินซึ่งมีความยาว 170 เซนติเมตรและหนัก 70 กิโลกรัม ซึ่งได้รับขนานนามว่า “โมบิดิกตัวจริง”
ส่วนองคชาตที่เล็กที่สุดในคอลเล็กชันเป็นของหนูแฮมสเตอร์ที่มีความยาวเพียง 2 มิลลิเมตร จนต้องใช้แว่นขยายเพื่อส่องดู
ในเดือนกรกฎาคม 2021 ทางพิพิธภัณฑ์ได้รับองคชาตของมนุษย์เป็นครั้งแรก และถูกนำมาลดขนาดให้เป็นก้อนสีน้ำตาลอมเทาดองไว้ในขวดฟอร์มาลิน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมีผู้เข้าชมกว่าหลายหมื่นคนต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศมากมาย ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ยังมีเป้าหมายเพื่อให้บุคคลทั่วไปทำการศึกษาด้านลึงค์โดยตรงอีกด้วย
อันดับที่ 2 พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมืองอิเกดะ จังหวัดโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น

พิพิธภัณฑ์ ‘CUPNOODLES OSAKA IKEDA’ ตั้งอยู่ในเมืองอิเกดะ จังหวัดโอซากะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมืองนี้ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนับตั้งแต่ปี 1958
โดยผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตัวแรกของโลก คือ ‘Chicken Ramen’ ซึ่งโด่งดังจากโฆษณาทางทีวี มีต้นกำเนิดมาจากโรงวิจัยบริเวณลานบ้านของ ‘โมโมฟูกุ อันโด’ นักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวไต้หวัน-ญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งบริษัทนิสชิน ฟูดส์ และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ CUPNOODLES OSAKA IKEDA อีกด้วย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1999 เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและถ่ายทอดนวัตกรรมขั้นตอนการผลิต อีกทั้งยังเจาะลึกประเภทบะหมี่ถ้วยหลายพันชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นตามยุคสมัย
อันดับที่ 1 พิพิธภัณฑ์มัมมี่ เมืองกัวนาฮัวโต เม็กซิโก
โดยผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตัวแรกของโลก คือ ‘Chicken Ramen’ ซึ่งโด่งดังจากโฆษณาทางทีวี มีต้นกำเนิดมาจากโรงวิจัยบริเวณลานบ้านของ ‘โมโมฟูกุ อันโด’ นักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวไต้หวัน-ญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งบริษัทนิสชิน ฟูดส์ และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ CUPNOODLES OSAKA IKEDA อีกด้วย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1999 เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและถ่ายทอดนวัตกรรมขั้นตอนการผลิต อีกทั้งยังเจาะลึกประเภทบะหมี่ถ้วยหลายพันชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นตามยุคสมัย
อันดับที่ 1 พิพิธภัณฑ์มัมมี่ เมืองกัวนาฮัวโต เม็กซิโก

ท่ามกลางการระบาดของอหิวาตกโรคในปี 1833 มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก จนต้องเปิดสุสานใหม่หลายแห่งเพื่อฝังศพและศพที่เสียชีวิตใหม่ๆ จะต้องฝังทันทีเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แต่เพราะความเร่งรีบจึงนำไปสู่ความความผิดพลาด ส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยถูกฝังทั้งเป็นทั้งๆ ที่ยังไม่ตายด้วยซ้ำ
ต่อมาในช่วงปี 1870 - 1958 เมืองกัวนาฮัวโตมีการเก็บภาษีฝังศพ และมีการขุดศพขึ้นจากหลุม ถ้าหากว่าครอบครัวนั้นไม่จ่ายภาษี เมื่อศพจำนวนหนึ่งถูกขุดขึ้นมาก็พบว่า บางศพได้แปรสภาพกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติแล้ว
สำหรับสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งของเมืองกัวนาฮัวโต ประกอบกัับโลงศพเล็กๆ ที่ทำมาพอดีตัว ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ส่งผลให้ศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินหยุดการย่อยสลาย และกลายมาเป็นมัมมี่อย่างที่เห็น
ในปี 1969 สถานที่แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ ‘El Museo de las Momias’ ซึ่งเก็บร่างมัมมี่ไว้มากมายในลักษณะที่ชวนหดหู่ขนหัวลุก และปัจจุบันมีมัมมี่จัดแสดงประมาณ 59 ร่างจากจำนวนมัมมี่ทั้งหมด
ต่อมาในช่วงปี 1870 - 1958 เมืองกัวนาฮัวโตมีการเก็บภาษีฝังศพ และมีการขุดศพขึ้นจากหลุม ถ้าหากว่าครอบครัวนั้นไม่จ่ายภาษี เมื่อศพจำนวนหนึ่งถูกขุดขึ้นมาก็พบว่า บางศพได้แปรสภาพกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติแล้ว
สำหรับสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งของเมืองกัวนาฮัวโต ประกอบกัับโลงศพเล็กๆ ที่ทำมาพอดีตัว ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ส่งผลให้ศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินหยุดการย่อยสลาย และกลายมาเป็นมัมมี่อย่างที่เห็น
ในปี 1969 สถานที่แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ ‘El Museo de las Momias’ ซึ่งเก็บร่างมัมมี่ไว้มากมายในลักษณะที่ชวนหดหู่ขนหัวลุก และปัจจุบันมีมัมมี่จัดแสดงประมาณ 59 ร่างจากจำนวนมัมมี่ทั้งหมด