การศึกษาใหม่ระบุว่า การ ‘ละเว้น’ จากการช่วยตัวเอง เสี่ยงต่อการวิตกกังวล ซึมเศร้า และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
การศึกษาดังกล่าว เกิดจากกลุ่มบนแพลตฟอร์ม Reddit ซึ่งชื่อว่า ‘NoFap’ ที่เรียกร้องให้ผู้ชายทั้งหลายหลีกเลี่ยงการช่วยตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจ มีสมาธิ และรักษาสภาวะหย่อนยานทางสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้ที่ยึดถือหลักปฏิบัติดังกล่าวจะเรียกตัวเองว่า ‘Fapstronauts’
และการศึกษานี้กำลังบอกเราว่า การ ‘NoFab’ หรือการไม่ช่วยตัวเองเนี่ยมันอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรงได้ โดยนักวิจัยจากแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิส (UCLA) ทำการสำรวจผู้ชายกว่า 587 คน ที่ไม่ช่วยตัวเอง หรือมีเซ็กซ์เลย ซึ่งพวกเขาบอกว่า หลังจากที่ไม่ได้ช่วยตัวเองพวกเขารู้สึกไร้ค่า และซึมเศร้า บางทีก็คิดอยากฆ่าตัวตายเมื่อรู้สึกมีอารมณ์ นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนการช่วยตัวเองและมีเซ็กซ์เป็นครั้งคราวเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่หลั่งน้ำอสุจิอย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือนจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากลงถึง 1 ใน 3
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของ UCLA ยังพบว่า หลายคนในโลกออนไลน์ที่สรรเสริญการ NoFap กำลังทำเช่นนั้นโดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อย
เมื่อผู้คนช่วยตัวเอง หรือมีเซ็กซ์ มันจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ให้ความรู้สึกดี เช่น ออกซิโทซิน และเอ็นโดรฟิน ซึ่งกระตุ้นอารมณ์ นอกจากนี้ยังไม่มีตัวเลขว่าควรมีเซ็กซ์บ่อยแค่ไหน แต่นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำกับทาง DailyMail ว่าประมาณสัปดาห์ละครั้งดีที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่าการเสพติดสื่อลามกอาจเกิดจากการติดตามเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยละเลยกิจกรรมอื่นๆ เช่น การนอนหลับ และระยะเวลาที่ใช้ดูมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มันยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งการกล่าวอ้างนี้อ้างอิงจากการศึกษาชิ้นหนึ่งจากปี 2003 ซึ่งในการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ถามผู้ชายที่อยู่ในขบวนการ NoFap ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าเป็น ‘โค้ชที่กำลังฟื้นตัว’ จากการติดสื่อลามก ซึ่งพวกเขารายงานการช่วยตัวเองเป็นครั้งแรก และสอดคล้องกับความรู้สึกอับอาย ไร้ค่า เศร้าใจ
ประมาณ 29% กล่าวว่าความล้มเหลวในการไม่ช่วยตัวเองครั้งล่าสุดของพวกเขา 'ทำให้พวกเขารู้สึกอยากฆ่าตัวตาย'
ขณะที่ผู้ที่ละเว้นมาเป็นเวลานานมีแนวโน้มที่จะพบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และการปฏิเสธเรื่องเพศมากขึ้น แม้จะไม่ชัดเจนว่าทำไมการไม่ช่วยตัวเองทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แต่อาจเป็นเพราะมุมมองเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศในกลุ่มผู้ติดตาม NoFap เมื่อถามเกี่ยวกับโพสต์ในกลุ่ม 73% กล่าวว่าพวกเขาเคยดูโพสต์ที่แสดงถึงความเกลียดชังผู้หญิง
ย้อนกลับไปในปี 2011 กลุ่ม NoFap เคลื่อนไหวโดยอ้างว่าการช่วยตัวเองทำให้สมองของพวกเขาเสียหาย และบอกว่าถ้าไม่ช่วยตัวเอง จะรู้สึกเหมือนเป็นซูเปอร์แมน
ในโพสต์หนึ่งบอกว่าเขา ‘อับอาย’ สำหรับการช่วยตัวเอง ขณะที่ผู้ใช้อีกรายแสดงความคิดเห็นบอกให้พวกเขาลงโทษตัวเองและหยุดนิสัยนี้ไปทีละขั้นตอน
ไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ติดตาม NoFap แต่กลุ่มมักจะมีสมาชิกหลายพันคน
นอกจากนี้ยังมีรายงานการกลั่นแกล้ง (49%) โพสต์ต่อต้าน LGBT (42%) และโพสต์ที่แนะนำให้ผู้อื่นทำร้ายหรือฆ่าตัวตาย (23%)
การศึกษาดังกล่าว เกิดจากกลุ่มบนแพลตฟอร์ม Reddit ซึ่งชื่อว่า ‘NoFap’ ที่เรียกร้องให้ผู้ชายทั้งหลายหลีกเลี่ยงการช่วยตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจ มีสมาธิ และรักษาสภาวะหย่อนยานทางสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้ที่ยึดถือหลักปฏิบัติดังกล่าวจะเรียกตัวเองว่า ‘Fapstronauts’
และการศึกษานี้กำลังบอกเราว่า การ ‘NoFab’ หรือการไม่ช่วยตัวเองเนี่ยมันอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรงได้ โดยนักวิจัยจากแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิส (UCLA) ทำการสำรวจผู้ชายกว่า 587 คน ที่ไม่ช่วยตัวเอง หรือมีเซ็กซ์เลย ซึ่งพวกเขาบอกว่า หลังจากที่ไม่ได้ช่วยตัวเองพวกเขารู้สึกไร้ค่า และซึมเศร้า บางทีก็คิดอยากฆ่าตัวตายเมื่อรู้สึกมีอารมณ์ นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนการช่วยตัวเองและมีเซ็กซ์เป็นครั้งคราวเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่หลั่งน้ำอสุจิอย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือนจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากลงถึง 1 ใน 3
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของ UCLA ยังพบว่า หลายคนในโลกออนไลน์ที่สรรเสริญการ NoFap กำลังทำเช่นนั้นโดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อย
ไม่มีตัวเลขทางวิทยาศาสตร์กำหนดว่า ‘ผู้ชายหรือผู้หญิงควรช่วยตัวเองบ่อยแค่ไหน’
แต่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แนะนำให้ผู้คนทำสิ่งนี้เป็นครั้งคราว โดยบอกว่ามันสามารถช่วยลดความเครียด เพิ่มความนับถือตนเอง และแม้กระทั่งสำหรับผู้ชายที่จะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากได้เมื่อผู้คนช่วยตัวเอง หรือมีเซ็กซ์ มันจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ให้ความรู้สึกดี เช่น ออกซิโทซิน และเอ็นโดรฟิน ซึ่งกระตุ้นอารมณ์ นอกจากนี้ยังไม่มีตัวเลขว่าควรมีเซ็กซ์บ่อยแค่ไหน แต่นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำกับทาง DailyMail ว่าประมาณสัปดาห์ละครั้งดีที่สุด
NoFap คือการรักษา ‘การติดภาพอนาจาร’ (?)
นักวิทยาศาสตร์จาก UCLA กล่าวว่า ไม่มีการสนับสนุนทางการแพทย์ต่อการกล่าวอ้างว่า การไม่ช่วยตัวเองจะช่วยรักษาการเสพติดภาพอนาจาร ดังที่ในโลกออนไลน์ระบุผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่าการเสพติดสื่อลามกอาจเกิดจากการติดตามเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยละเลยกิจกรรมอื่นๆ เช่น การนอนหลับ และระยะเวลาที่ใช้ดูมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มันยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งการกล่าวอ้างนี้อ้างอิงจากการศึกษาชิ้นหนึ่งจากปี 2003 ซึ่งในการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ถามผู้ชายที่อยู่ในขบวนการ NoFap ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าเป็น ‘โค้ชที่กำลังฟื้นตัว’ จากการติดสื่อลามก ซึ่งพวกเขารายงานการช่วยตัวเองเป็นครั้งแรก และสอดคล้องกับความรู้สึกอับอาย ไร้ค่า เศร้าใจ
ประมาณ 29% กล่าวว่าความล้มเหลวในการไม่ช่วยตัวเองครั้งล่าสุดของพวกเขา 'ทำให้พวกเขารู้สึกอยากฆ่าตัวตาย'
ขณะที่ผู้ที่ละเว้นมาเป็นเวลานานมีแนวโน้มที่จะพบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และการปฏิเสธเรื่องเพศมากขึ้น แม้จะไม่ชัดเจนว่าทำไมการไม่ช่วยตัวเองทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แต่อาจเป็นเพราะมุมมองเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศในกลุ่มผู้ติดตาม NoFap เมื่อถามเกี่ยวกับโพสต์ในกลุ่ม 73% กล่าวว่าพวกเขาเคยดูโพสต์ที่แสดงถึงความเกลียดชังผู้หญิง
ย้อนกลับไปในปี 2011 กลุ่ม NoFap เคลื่อนไหวโดยอ้างว่าการช่วยตัวเองทำให้สมองของพวกเขาเสียหาย และบอกว่าถ้าไม่ช่วยตัวเอง จะรู้สึกเหมือนเป็นซูเปอร์แมน
ในโพสต์หนึ่งบอกว่าเขา ‘อับอาย’ สำหรับการช่วยตัวเอง ขณะที่ผู้ใช้อีกรายแสดงความคิดเห็นบอกให้พวกเขาลงโทษตัวเองและหยุดนิสัยนี้ไปทีละขั้นตอน
ไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ติดตาม NoFap แต่กลุ่มมักจะมีสมาชิกหลายพันคน
นอกจากนี้ยังมีรายงานการกลั่นแกล้ง (49%) โพสต์ต่อต้าน LGBT (42%) และโพสต์ที่แนะนำให้ผู้อื่นทำร้ายหรือฆ่าตัวตาย (23%)
