อันวาร์ อิบราฮิม กับวิบากชีวิตผูกติดกับข้อหา ‘Sodomy’

25 พ.ย. 2565 - 08:39

  • การมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกันถือเป็นสิ่งต้องห้ามทั้งทางศาสนาและทางการเมือง

  • อันวาร์ อิบราฮิม เจอข้อหานี้ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 1998 ซึ่งทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมืองในพรรครัฐบาลและหมดโอกาสที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ครั้งที่สองเมื่อปี 2008

Anwar-ibrahim-malaysia-prime-minister-sodomy-SPACEBAR-Hero
ชานอน ชาห์ (Shanon Shah) นักเขียนและนักข่าวชาวมาเลเซียผู้สนใจเรื่องเพศสภาวะและศาสนาอิสลาม เคยเขียนบทความเรื่อง ‘ทำความเข้าใจกับข้อหากามวิตถารของอันวาร์ อิบราฮิม’ ให้กับสถาบัน Muslim Institute เขาบอกว่า อันวาร์ น่าจะเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและรองนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในโลกที่ถูกดำเนินคดีและถูกยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวถึง 2 ครั้ง  

ในวันนี้ เขาอาจต้องเขียนใหม่ว่า อันวาร์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของโลกที่เจอข้อหานี้และถูกยกฟ้องข้อหานี้ 2 ครั้ง 

ข้อหา ‘Sodomy’ ซึ่งในกรณีของ อันวาร์ ถูกกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในสังคมมุสลิม สำหรับมาเลเซีย นอกจากจะเป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนาแล้ว ในทางการเมือง มาเลเซียยังมีกฎหมายเอาผิดเพศสัมพันธ์รักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นกฎหมายโบร่ำโบราณที่สืบทอดจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษเมื่อร้อยปีก่อน อันเป็นยุคที่สังคมตะวันตกยังอนุรักษนิยมสุดกู่ และมองว่า ‘Sodomy’ คือความตกต่ำของสังคม 

แต่สำหรับมาเลเซีย ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม การถูกกล่าวหาว่ากระทำการ ‘Sodomy’ ก็นับว่าเลวร้ายมากพอแล้ว พอที่จะทำลายชื่อเสียงและที่ยืนในสังคมของคนคนนั้น และยิ่งนำกฎหมายมาเอาผิด ยิ่งจะตัดอนาคตของคนคนนั้นไปเลย 

อันวาร์ อิบราฮิม เจอข้อหานี้ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 1998 ซึ่งทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมืองในพรรครัฐบาลและหมดโอกาสที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป  

ร่ำลือกันว่าเพราะเขามีจุดยืนสวนทางกับ มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น นั่น คือจุดยืนที่ค่อนข้าง liberals อย่างน้อยก็ในแง่เศรษฐกิจ 

ครั้งที่สองเมื่อปี 2008 หลังจากถูกยกฟ้องและปล่อยตัวจากคดีแรกในปี 2004 อันวาร์ เคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน แต่เป็นอีกครั้งที่เขาโดนเล่นงานข้อหาเดิม ต้องผจญกับการดำเนินคดี เข้าไปนอนคุก เคลื่อนไหวทางการเมือง และสุดท้ายได้รับอภัยโทษในปี 2018 

ชานอน ชาห์  สรุปเส้นทางของ อันวาร์ กับข้อหาวิตถารทางเพศเอาไว้ด้วยคำ 6 คำ คือ convicted, appealed, acquitted; acquitted, appealed, convicted (รอบแรก ต้องโทษ, อุธรณ์, ยกฟ้อง รอบสอง ยกฟ้อง, อุธรณ์, ต้องโทษ)  

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ อันวาร์ รู้ดีว่าข้อหาที่เขาเจอเป็นการทำร้ายกันทางการเมือง โดยเฉพาะการใช้กฎหมายดึกดำบรรพ์สมัยอาณานิคมที่เอาผิดพฤติกรรมรักร่วมเพศ สวนทางกับค่านิยมยุคปัจจุบันที่ประเทศอื่นๆ นั้นนอกจากจะยกเลิกกฎหมายแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้ว ยังส่งเสริมให้สังคมเข้าอกเข้าใจความหลากหลายทางเพศด้วย  

ดังนั้นเมื่อ อันวาร์ ถูกเล่นงานด้านข้อหานี้ จึงมีเสียงตำหนิจากประชาคมโลกและเสียงตำหนิจากฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศที่มองว่าการใช้ข้อหานี้เล่นงาน อันวาร์ ทำให้ภาพลักษณ์ของมาเลเซียในฐานะประเทศประชาธิปไตย และชาติมุสลิมสายกลาง ต้องเสื่อมเสียลงไป 

แต่สังคมมาเลเซียต่างจากประเทศประชาธิปไตยทั่วๆ ไป เพราะยังเป็นสังคมมุสลิมที่เคร่งครัดและยังใช้กฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) ไปพร้อมๆ กับกฎหมายทางโลก ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วประเทศแบบนี้หากใครเจอข้อหา ‘Sodomy’ จะต้องรับโทษที่หนักกว่ามาก เพราะมันพ่วงบทลงโทษทั้งทางโลกและ ‘เหนือโลก’ ไปพร้อมๆ กัน 

แต่น่าแปลกที่ อันวาร์ โดนข้อหา ‘Sodomy’ ด้วยกฎหมายบ้านเมือง แต่ไม่เคยโดนเล่นงานด้วยกฎหมายศาสนา มันยิ่งทำให้น่าเชื่อว่าการเล่นงานเขามีเจตนาทางการเมืองเป็นสำคัญ  

แล้วอันวาร์คิดอย่างไรกับการที่เขาถูกเล่นงานด้วยข้อหานี้? เขาจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่ต้องเจอข้อหาเดียวกันหรือไม่ (ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่จริงก็ตาม)?  

ปรากฏว่า อันวาร์กลับยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอย่างเหนียวแน่น เขาแสดงจุดยืนต่อต้านพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างออกหน้าออกตา  

เมื่อปี 2018 สื่อของมาเลเซีย Astro Awani รายงานอ้างคำพูดของ อันวาร์ ที่แสดงความเห็นเรื่องกลุ่มความหลากหลายทางเพศเอาไว้ว่า “คนกลุ่มนี้มักจะหยิ่งยโสและพยายามบังคับให้ผู้นำรัฐบาลยอมรับพวกเขา [LGBT]”  

แต่เขาก็บอกด้วยว่า “ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ดังนั้นผมจึงไม่มีปัญหาที่พวกเขาจะแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล” และยังบอกว่าเขาไม่สนับสนุนให้รัฐบาล “บุกเข้าบ้าน” ซึ่งหมายถึงการคุกคามคนเห็นต่าง อย่างที่เขาเคยถูกบุกบ้าน แล้วลากตัวมาจับขังคุกแล้วถึง 2 ครั้ง 

แต่อีกคำหนึ่งเขาก็แสดงท่าทีแข็งกร้าวเสียอย่างนั้นว่า “ผู้ที่นับถือศาสนาจากทุกเชื้อชาติ ความเชื่อ และสังคมควรลุกขึ้นและกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ต่อต้านแนวโน้มและแนวคิดของ LGBT เนื่องจากพวกเขาบังคับให้สังคมทั้งหมดยอมรับพวกเขา ทั้งรักร่วมเพศ เลสเบี้ยน และอื่นๆ” 

จากคำพูดของ อันวาร์ เราอาจจะรู้สึกได้ว่าเขามีทั้งท่าทีที่ค่อนข้างจะยอมรับได้กับการแสดงความเห็นที่หลากหลายตามระบอบประชาธิปไตย แต่อาจเป็นเพราะความเป็นมุสลิมทำให้เขาไม่อาจยอมรับความหลากหลายทางเพศได้ 

อย่างที่เขาเลี่ยงที่จะตีตราว่า LGBT เป็นเรื่องที่ผิดหลักศาสนา แต่เรียกคนกลุ่มนี้ว่า super liberals เพื่อทำให้เป็นเรื่องทางอุดมการณ์โลกมากขึ้น 

เหมือนกับบอกว่า ตัวเขาเอง (และมาเลเซีย) ยังพอรับได้กับความเป็น liberals แน่ แต่พวก liberals ที่ล้ำเส้นเกินไป จะไม่มีที่ทางให้พวกเขาในประเทศนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์