








สำนักข่าว AFP รายงานว่า กองกำลังความมั่นคงของบราซิลเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 ม.ค.) หลังจากผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีจาอีร์ โบลโซนาโร ซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดประมาณหลายร้อยคนได้เข้าบุกรัฐสภา ทำเนียบประธานาธิบดี และศาลฎีกา โดยเรียกร้องให้มีการแทรกแซงทางทหารเพื่อหยุดยั้งการใช้อำนาจจากประธานาธิบดีคนใหม่ แต่กองกำลังความมั่นคงสามารถยึดคืนอาคารรัฐสภาได้ใน เมื่อช่วงค่ำวานนี้
ด้านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา วัย 77 ปี ซึ่งอยู่พรรคฝ่ายซ้ายและเพิ่งได้รับตำแหน่งมาเมื่อช่วงวันที่ 1 มกราคม 2023 ประณามว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่ม ‘ฟาสซิสต์’
ขณะเดียวกันก็มีการดำเนินการครั้งใหญ่เพื่ออพยพผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบประธานาธิบดีและศาลฎีกา โดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยใช้ตำรวจปราบจลาจลบนหลังม้า ปืนใหญ่สำหรับฉีดน้ำ และระเบิดแก๊สน้ำตาที่ยิงจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อต่อสู้กับพวกเขา
“พวกคลั่งลัทธิฟาสซิสต์เหล่านี้ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ เราจะสืบหาให้ได้ว่าใครคือผู้ก่อกวนเหล่านี้ และพวกเขาจะถูกดำเนินการตามกฎหมายที่บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ” ลูลา ดา ซิลวา กล่าว
จากสถานการณ์ล่าสุด สื่อบราซิลรายงานว่า ตำรวจได้จับกุมกลุ่มผู้สนับสนุนไปแล้วกว่า 170 ราย นอกจากนี้ อิบาเนส โรชา ผู้ว่าการกรุงบราซิเลีย ประกาศไล่ แอนเดอร์สัน ตอร์เรส หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงสาธารณะของกรุงบราซิเลียออก ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโร เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และนำไปสู่ความไม่สงบ
ภาพจากสื่อสังคมออนไลน์แสดงให้เห็นผู้ก่อการจลาจลพังประตูและหน้าต่างเพื่อเข้าไปในอาคารรัฐสภา จากนั้นจึงหลั่งไหลเข้ามาทำลายห้องทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งตะโกนดูหมิ่นเหยียดหยามสมาชิกสภานิติบัญญัติอีกด้วย ในขณที่ ตำรวจตั้งวงล้อมรักษาความปลอดภัยรอบจัตุรัส ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายผู้ก่อการจลาจล นอกจากนี้ ยังมีนักข่าวอย่างน้อย 5 คนที่ถูกโจมตี
อย่างไรก็ดี นานาชาติต่างก็ออกมาประณามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ตำหนิการโจมตีครั้งนี้ว่า ‘อุกอาจ’ ขณะที่เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า “วอชิงตัน ประณามความพยายามใดๆ ที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยในบราซิล”
ขณะที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้เคารพสถาบันต่างๆ ของบราซิล ส่วน กาเบรียล โบริก ประธานาธิบดีชิลี เรียกการจลาจลนี้ว่าเป็น ‘การโจมตีอย่างขี้ขลาดและเลวทรามต่อประชาธิปไตย’
ด้านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา วัย 77 ปี ซึ่งอยู่พรรคฝ่ายซ้ายและเพิ่งได้รับตำแหน่งมาเมื่อช่วงวันที่ 1 มกราคม 2023 ประณามว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่ม ‘ฟาสซิสต์’
ขณะเดียวกันก็มีการดำเนินการครั้งใหญ่เพื่ออพยพผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบประธานาธิบดีและศาลฎีกา โดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยใช้ตำรวจปราบจลาจลบนหลังม้า ปืนใหญ่สำหรับฉีดน้ำ และระเบิดแก๊สน้ำตาที่ยิงจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อต่อสู้กับพวกเขา
“พวกคลั่งลัทธิฟาสซิสต์เหล่านี้ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ เราจะสืบหาให้ได้ว่าใครคือผู้ก่อกวนเหล่านี้ และพวกเขาจะถูกดำเนินการตามกฎหมายที่บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ” ลูลา ดา ซิลวา กล่าว
จากสถานการณ์ล่าสุด สื่อบราซิลรายงานว่า ตำรวจได้จับกุมกลุ่มผู้สนับสนุนไปแล้วกว่า 170 ราย นอกจากนี้ อิบาเนส โรชา ผู้ว่าการกรุงบราซิเลีย ประกาศไล่ แอนเดอร์สัน ตอร์เรส หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงสาธารณะของกรุงบราซิเลียออก ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโร เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และนำไปสู่ความไม่สงบ
ภาพจากสื่อสังคมออนไลน์แสดงให้เห็นผู้ก่อการจลาจลพังประตูและหน้าต่างเพื่อเข้าไปในอาคารรัฐสภา จากนั้นจึงหลั่งไหลเข้ามาทำลายห้องทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งตะโกนดูหมิ่นเหยียดหยามสมาชิกสภานิติบัญญัติอีกด้วย ในขณที่ ตำรวจตั้งวงล้อมรักษาความปลอดภัยรอบจัตุรัส ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายผู้ก่อการจลาจล นอกจากนี้ ยังมีนักข่าวอย่างน้อย 5 คนที่ถูกโจมตี
อย่างไรก็ดี นานาชาติต่างก็ออกมาประณามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ตำหนิการโจมตีครั้งนี้ว่า ‘อุกอาจ’ ขณะที่เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า “วอชิงตัน ประณามความพยายามใดๆ ที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยในบราซิล”
ขณะที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้เคารพสถาบันต่างๆ ของบราซิล ส่วน กาเบรียล โบริก ประธานาธิบดีชิลี เรียกการจลาจลนี้ว่าเป็น ‘การโจมตีอย่างขี้ขลาดและเลวทรามต่อประชาธิปไตย’