เวียดนามทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 44 องศาเซลเซียส (111 องศาฟาเรนไฮต์) โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงกว่านี้ในไม่ช้าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สถิติดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองทัญฮว้า (Thanh Hoa) ทางตอนเหนือ ซึ่งเจ้าหน้าที่เตือนประชาชนให้อยู่ที่ร่มในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน
เหงียนหง็อกฮุ่ย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า “สถิติใหม่ของเวียดนามน่ากังวล เมื่อพิจารณาจากบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน…ผมเชื่อว่าสถิตินี้จะถูกทำลายอีกหลายครั้ง…เป็นการยืนยันว่าแบบจำลองสภาพอากาศสุดโต่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง”
เหงียน ถิ หลัน เกษตรกรในเมืองดานัง ทางตอนกลางของเวียดนาม กล่าวว่า “ความร้อนทำให้คนงานต้องเริ่มงานเร็วกว่าที่เคยและต้องเสร็จภายในเวลา 10:00 น.”
ทั้งนี้ พบว่าอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเวียดนามอยู่ที่ 43.4 องศาเซลเซียสในจังหวัดฮาทินห์ทางตอนกลางเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ห่างออกไปทางตะวันตกที่กรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศมีอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ขณะที่ทางการอินเดียกล่าวว่า พื้นที่บางส่วนของประเทศกำลังประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ 3-4 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ก็ประสบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดเช่นกัน อย่างประเทศไทยก็เจออุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.6 องศาเซลเซียสในจังหวัดตากทางตะวันตกของประเทศ
ด้านสื่อของเมียนมารายงานว่า เมืองทางตะวันออกก็มีอุณหภูมิ 43.8 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดในรอบทศวรรษ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศมีอากาศร้อนก่อนฤดูมรสุม แต่ความรุนแรงของความร้อนได้ทำลายสถิติไปก่อนหน้านี้
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศทางยุโรปอย่างสเปนก็ได้บันทึกอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนนั้นด้วยเช่นกันที่ 38.8 องศาเซลเซียสที่สนามบินกอร์โดบาทางตอนใต้ของประเทศ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทั่วโลกต่างก็ตกลงที่จะดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่โลกได้อุ่นขึ้นแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีแนวโน้มที่โลกจะทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส ในปี 2030
ในรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติกล่าวว่า “ทุกการเพิ่มขึ้นของภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดอันตรายพร้อมกัน”
โลกร้อนขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสแล้วตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่รัฐบาลจะลดการปล่อยมลพิษลงมากๆ
สถิติดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองทัญฮว้า (Thanh Hoa) ทางตอนเหนือ ซึ่งเจ้าหน้าที่เตือนประชาชนให้อยู่ที่ร่มในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน
เหงียนหง็อกฮุ่ย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า “สถิติใหม่ของเวียดนามน่ากังวล เมื่อพิจารณาจากบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน…ผมเชื่อว่าสถิตินี้จะถูกทำลายอีกหลายครั้ง…เป็นการยืนยันว่าแบบจำลองสภาพอากาศสุดโต่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง”
เหงียน ถิ หลัน เกษตรกรในเมืองดานัง ทางตอนกลางของเวียดนาม กล่าวว่า “ความร้อนทำให้คนงานต้องเริ่มงานเร็วกว่าที่เคยและต้องเสร็จภายในเวลา 10:00 น.”
ทั้งนี้ พบว่าอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเวียดนามอยู่ที่ 43.4 องศาเซลเซียสในจังหวัดฮาทินห์ทางตอนกลางเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ห่างออกไปทางตะวันตกที่กรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศมีอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ขณะที่ทางการอินเดียกล่าวว่า พื้นที่บางส่วนของประเทศกำลังประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ 3-4 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ก็ประสบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดเช่นกัน อย่างประเทศไทยก็เจออุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.6 องศาเซลเซียสในจังหวัดตากทางตะวันตกของประเทศ
ด้านสื่อของเมียนมารายงานว่า เมืองทางตะวันออกก็มีอุณหภูมิ 43.8 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดในรอบทศวรรษ อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศมีอากาศร้อนก่อนฤดูมรสุม แต่ความรุนแรงของความร้อนได้ทำลายสถิติไปก่อนหน้านี้
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศทางยุโรปอย่างสเปนก็ได้บันทึกอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนนั้นด้วยเช่นกันที่ 38.8 องศาเซลเซียสที่สนามบินกอร์โดบาทางตอนใต้ของประเทศ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทั่วโลกต่างก็ตกลงที่จะดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่โลกได้อุ่นขึ้นแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีแนวโน้มที่โลกจะทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส ในปี 2030
ในรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติกล่าวว่า “ทุกการเพิ่มขึ้นของภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดอันตรายพร้อมกัน”
โลกร้อนขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสแล้วตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่รัฐบาลจะลดการปล่อยมลพิษลงมากๆ