ผู้เชี่ยวชาญและงานวิจัยฟันธง ‘การฉีดพ่นละอองน้ำ’ วิธียอดฮิตโดยเฉพาะในไทย ที่ถูกนำมาใช้ต่อสู้กับหมอกควันที่เป็นมิลพิษ ไร้ประสิทธิภาพ และถูกนำมาใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ‘ต้นตอ’ ของมลพิษ แถมยังทำให้มลพิษเพิ่มขึ้นแทนที่จะช่วยบรรเทาปัญหา
ภาพของปืนฉีดน้ำที่มีความยาวราวๆ 3 – 4 เมตร ที่ถูกเผยแพร่โดยสื่อของรัฐจีน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขวิกฤตด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วนจากหมอกควันที่เกิดจากโรงงานถ่านหิน และเหล็ก แม้ฃบรรดาผู้เชี่ยวชาญจะมองว่าสิ่งนี้ไม่มีประสิทธิภาพ และเป็นการหันหลังให้กับต้นตอการเกิดมลพิษมากกว่า
กระบวนการทำงานของ ‘ปืนพ่นหมอก’ จะทำงานโดยพ่นละอองน้ำออกไปในอากาศ แต่นักวิทยาศาสตร์ออกมาโต้แย้งว่า ปืนพ่นหมอกนี้ไม่สามารถต่อสู้กับอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กและอันตรายได้ โดยปืนดังกล่าวถูกติดตั้งบนรถบรรทุกเคลื่อนที่ ที่มีมูลค่าประมาณ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 ล้านบาท) ต่อ 1 เครื่อง
ชุยเสิ้ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในเมืองเจิงโจวตอนกลางของจีน อ้างว่า รถฉีดพ่นละอองน้ำจะแทรกแซงการอ่านข้อมูลมลพิษทางอากาศ เมื่อใช้งานใกล้กับสถานีตรวจวัด และจะทำให้ค่ามลพิษดูดีกว่าปกติ
นอกจากนี้ยังมี ‘เครื่องดูดควันพิเศษ’ ที่ใช้สำหรับการปรับปรุงคุณภาพอากาศ แม้จะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ในส่วนของวิธีที่นิยมใช้กันจะเป็นการกำจัดฝุ่นควันแบบเปียก หรือเรียกง่ายๆ ว่าฉีดน้ำใส่มันเข้าไปเลย แต่การวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่าวิธีดังกล่าวจะดักจับอนุภาคฝุ่นที่ใหญ่กว่า PM 2.5 เพราะเจ้าฝุ่นจิ๋วนี้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ละอองน้ำจะดักจับได้
ชาง หยวนซุน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม แสดงความกังวลว่า อนุภาคบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับน้ำและขยายตัวขึ้น ซึ่งการติดตั้งปืนพ่นหมอกในเมืองต่างๆ ของจีน ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรที่หาได้ยากอยู่แล้ว ขณะที่การต่อสู้กับมลพิษที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการจำกัดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด
เรากำลังหันหลังให้ ‘ต้นตอ’ ของฝุ่นอยู่หรือเปล่า?
เมื่อหลายปีก่อนประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังเผชิญปัญหาฝุ่นควัน ไม่ต่างไปจากประเทศไทย หมอกควันที่พัดพามาตามฤดูกาลปกคลุมเมืองต่างๆ ของจีน ทำให้ต้องแจ้งเตือนระดับ ‘สีแดง’ (อันตรายต่อทุกคน และทุกวัย) ในกรุงปกกิ่ง และทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นในจีนได้ติดตั้ง ‘ปืนพ่นหมอก’ เพื่อพยายามกำจัดฝุ่นพิษนี้ให้ออกไปจากอากาศภาพของปืนฉีดน้ำที่มีความยาวราวๆ 3 – 4 เมตร ที่ถูกเผยแพร่โดยสื่อของรัฐจีน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขวิกฤตด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วนจากหมอกควันที่เกิดจากโรงงานถ่านหิน และเหล็ก แม้ฃบรรดาผู้เชี่ยวชาญจะมองว่าสิ่งนี้ไม่มีประสิทธิภาพ และเป็นการหันหลังให้กับต้นตอการเกิดมลพิษมากกว่า
กระบวนการทำงานของ ‘ปืนพ่นหมอก’ จะทำงานโดยพ่นละอองน้ำออกไปในอากาศ แต่นักวิทยาศาสตร์ออกมาโต้แย้งว่า ปืนพ่นหมอกนี้ไม่สามารถต่อสู้กับอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กและอันตรายได้ โดยปืนดังกล่าวถูกติดตั้งบนรถบรรทุกเคลื่อนที่ ที่มีมูลค่าประมาณ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 ล้านบาท) ต่อ 1 เครื่อง
ชุยเสิ้ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในเมืองเจิงโจวตอนกลางของจีน อ้างว่า รถฉีดพ่นละอองน้ำจะแทรกแซงการอ่านข้อมูลมลพิษทางอากาศ เมื่อใช้งานใกล้กับสถานีตรวจวัด และจะทำให้ค่ามลพิษดูดีกว่าปกติ
นอกจากนี้ยังมี ‘เครื่องดูดควันพิเศษ’ ที่ใช้สำหรับการปรับปรุงคุณภาพอากาศ แม้จะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ในส่วนของวิธีที่นิยมใช้กันจะเป็นการกำจัดฝุ่นควันแบบเปียก หรือเรียกง่ายๆ ว่าฉีดน้ำใส่มันเข้าไปเลย แต่การวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่าวิธีดังกล่าวจะดักจับอนุภาคฝุ่นที่ใหญ่กว่า PM 2.5 เพราะเจ้าฝุ่นจิ๋วนี้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ละอองน้ำจะดักจับได้
ชาง หยวนซุน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม แสดงความกังวลว่า อนุภาคบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับน้ำและขยายตัวขึ้น ซึ่งการติดตั้งปืนพ่นหมอกในเมืองต่างๆ ของจีน ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรที่หาได้ยากอยู่แล้ว ขณะที่การต่อสู้กับมลพิษที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการจำกัดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด

‘ปืนพ่นหมอก ไม่สามารถกำจัดหมอกควันได้จริงๆ หรอก’
หน่วยงานรัฐบาลในเมืองซีอาน มณฑลส่านซี ลงทุนเกือบหนึ่งล้านหยวน (ราว 5.6 ล้านบาท) ไปกับปืนพ่นหมอกซึ่งออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับมลพิษในเมือง แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปืนพ่นหมอกขนาดยักษ์นี้ช่วยลดความหนาแน่นของ PM 2.5 ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่สำนักข่าวของจีนรายงานด้วยว่า ปืนนี้เป็นตัวการที่สำคัญที่สุดในการเกิดหมอกควันในเมืองสำนักงานสวนสาธารณะและป่าไม้ในเขตซินเฉิงของเมืองได้ซื้อปืนดังกล่าวจากผู้ผลิต เพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในกว่างโจว โดยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 900,000 หยวน หรือราว 4.5 ล้านบาท
ปืนพ่นหมอกขนาด 10 ตัน สามารถพ่นน้ำได้ไกลถึง 600 เมตร และสูง 70 เมตร น้ำจะพุ่งขึ้นเป็นละอองเล็กๆ และเกาะติดกับฝุ่นเพื่อสร้างอนุภาคขนาดใหญ่ขึ้น และจะตกลงสู่พื้นผิวภายใต้แรงโน้มถ่วง
ด้านผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความพยายามในการต่อสู้กับฝุ่นในซีอาน ปืนนี้สามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปันเสี่ยวชวน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งกล่าวว่า บทบาทของปืนในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แม้ว่าปืนจะสามารถลดมลพิษโดยรอบได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากฉีดน้ำ แต่ผลของมันจะอยู่ได้ไม่นาน ปืนนี้มีประสิทธิภาพในการควบคุมฝุ่นจากสถานที่ก่อสร้าง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับอนุภาคขนาดเล็กอย่าง PM 2.5
“อนุภาคละเอียดเช่น PM 2.5 สามารถก่อตัวเป็นชั้นมลภาวะซึ่งสูงกว่า 200 เมตรเหนือพื้นดิน” ปันเสี่ยวชวนกล่าวและเสริมว่า ขณะที่แหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญในซีอานคือการเผาไหม้ถ่านหิน มลพิษจากยานพาหนะ และมลพิษจากอุตสาหกรรม ไม่ใช่ฝุ่น

อินเดียก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
เดลีเมืองหลวงของอินเดีย ก็ประสบปัญหามลพิษปกคลุมทั่วเมืองเช่นเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลเดลีเองก็ได้ใช้ ‘ปืนพ่นหมอก’ ที่อนันด์วิหาร์ (Anand Vihar) เมืองที่มีมลพิษสูง และมีประชากรหนาแน่นที่สุดในอินเดีย ทว่ามันกลับได้ผลน้อยมากๆ แถมยังเพิ่มขึ้นทุกๆ ชั่วโมงอีกต่างหากปืนดังกล่าวจะพ่นละอองน้ำ (หยดน้ำเล็กๆ) ขึ้นไปที่ความสูง 50 เมตร ทำให้เกิดหมอกเทียม ซึ่งคาดว่าจะเกาะกับมลพิษในอากาศและพัดพาลงมายังพื้นดิน อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นของ PM 2.5 กลับพุ่งสูงขึ้น ณ บริเวณสถานีตรวจวัดอนันด์ราห์ ซึ่งเป็นสถานีตรวจสอบของคณะกรรมการควบคุมมลพิษเดลี (DPCC) ภายในเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากการทดลองเริ่มขึ้น
ค่า PM 2.5 ที่อ่านได้รายชั่วโมงคือ 444, 421, 476, 509 และ 460 ระหว่างเวลา 10.00 น. ถึง 14.00 น. ในขณะที่ค่า PM10 ที่อ่านได้คือ 630, 608, 736, 842 และ 702 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ug/m3 ).
ที่น่าสนใจคือ ระดับมลพิษไม่ลดลงแม้ว่าการพ่นน้ำจากปืนพ่นหมอกจะอยู่บริเวณสถานีตรวจสอบของ DPCC เป็นส่วนใหญ่
วิเวก ฉัตตโภทัย ผู้จัดการโครงการ Clean Air and Sustainable Mobility กล่าวว่า ผลกระทบของอุปกรณ์ดังกล่าวถูกจำกัดด้วยพื้นที่และเวลา อุปกรณ์ดังกล่าวมีข้อจำกัดมาก อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อปริมาณอากาศในบริเวณโดยรอบบริเวณที่ทำการฉีดพ่น ซึ่งผลกระทบจะลดลงหลังจากหยุดฉีดพ่น แทนที่จะระดมทรัพยากรเพื่อจัดการกับแหล่งกำเนิดมลพิษโดยใช้มาตรการเล็กน้อยแต่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น การป้องกันการเผาขยะในที่โล่ง และการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของสถานที่ฝังกลบ
การพ่นน้ำ นอกจากจะไม่ลด ยัง ‘เพิ่ม’ มลพิษมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของสหัฐฯ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ National Library of Medicine ที่ระบุว่า การพ่นน้ำบนถนนก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศแทนที่จะช่วยแก้ปัญหางานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า การฉีดพ่นถนนด้วยน้ำปริมาณมากในเมืองต่างๆ เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันเพิ่มเติมหรือการดำเนินการบรรเทาผลกระทบที่ดำเนินการเพื่อควบคุมเหตุการณ์มลพิษทางอากาศที่รุนแรง หรือเหตุการณ์หมอกควันหนาทึบ ซึ่งกลไกที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เหตุการณ์มลพิษทางอากาศเหล่านี้มักเกิดจากความชื้นในอากาศที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงอาจมีความเชื่อมโยงระหว่างการกระทำนี้กับมลพิษทางอากาศ
ในการศึกษาปัจจุบัน ผลกระทบของการฉีดพ่นน้ำต่อความเข้มข้นของ PM 2.5 และความชื้นในอากาศได้รับการประเมินโดยการวัดองค์ประกอบทางเคมีของน้ำ เมื่อทำการทดลองฉีดพ่นน้ำจำลอง การวัดสารตกค้างและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
นักวิจัยพบว่าการฉีดพ่นน้ำประปาหรือน้ำในแม่น้ำปริมาณมากบนถนนทำให้ความเข้มข้นของ PM 2.5 และความชื้นเพิ่มขึ้น และการฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องทุกวันก่อให้เกิดผลสะสมต่อมลพิษทางอากาศ ขณะที่การฉีดพ่นน้ำในปริมาณที่เท่ากันจะทำให้ความชื้นและความเข้มข้นของ PM 2.5 เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่มีอากาศเย็นมากกว่าในช่วงฤดูร้อน
ผลลัพธ์ของงานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า การฉีดพ่นถนนด้วยน้ำจะเพิ่มความเข้มข้นของ PM 2.5 แทนที่จะลดลง และด้วยเหตุนี้จึงเป็นแหล่งใหม่ของละอองลอยและมลพิษทางอากาศ ปริมาณไอระเหยที่สูงขึ้นและความชื้นที่เป็นผลทำให้เกิดสภาวะทางอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการแพร่กระจายของมลพิษทางอากาศในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำ