‘จาซินดา อาร์เดิน’ นายกฯ หญิงผู้ปลอบประโลมประเทศยามวิกฤต
หลังจากนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์คนปัจจุบัน จาซินดา อาร์เดิร์น ออกมาประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็สร้างความตกใจไม่น้อยในหมู่รัฐบาลและประชาชน และปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา อาร์เดิร์นได้สร้างความประทับใจให้ประเทศไม่น้อย ทั้งยังพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 มาได้อย่างดีด้วยทว่าการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศขณะที่อายุยังน้อยก็เป็นเรื่องที่ท้าทายและยากเช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่งเธอ เคยให้คำมั่นว่า ‘จะมองโลกในแง่ดีอย่างไม่หยุดยั้งในฐานะผู้นำประเทศ’ โดยที่ผ่านมาเธอยอมรับว่าข้อเรียกร้องที่ไม่หยุดยั้งของงานที่ทำอยู่นั้นบั่นทอนกำลังใจจนทำให้เธอไม่มีแรงบันดาลใจที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป
นับตั้งแต่รับหน้าที่ดำรงตำแหน่งเป็น ‘นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก’ เมื่อเดือนตุลาคม 2017 ขณะอายุได้เพียง 37 ปี และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศนับตั้งแต่ปี 1856 อาร์เดิร์นได้กลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก
แต่หลังจากได้รับการยกย่องในการนำพานิวซีแลนด์ให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้ การสนับสนุนพรรคแรงงานของเธอและคะแนนนิยมของเธอกลับลดน้อยลง ความพยายามในการคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ในครั้งนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่อาร์เดิร์นพร้อมจะทำเท่าใดนัก
ต่อไปนี้คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และตกต่ำที่สุดตลอด 6 ปีที่ผ่านมาในยุคของอาร์เดิร์น
รับมือกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในไครสต์เชิร์ช

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2019 ได้เกิดเหตุกราดยิงชาวมุสลิมที่มัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ชทางใต้ของเกาะ คร่าชีวิตผู้คนไป 51 รายและบาดเจ็บอีก 40 ราย
หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาร์เดิร์นก็เคลื่อนไหวด้วยการปฏิรูปกฎหมายปืนอย่างเด็ดขาดและบังคับใช้อย่างรวดเร็วด้วยการแบนปืนยาวระบบกึ่งอัตโนมัติเลียนแบบปืนทหาร (MSSA) และปืนไรเฟิลจู่โจม พร้อมทั้งปลอบโยนครอบครัวของเหยื่อด้วยการสวมผ้าคลุมศีรษะ ซึ่งหลังจากภาพนี้ถูกปล่อยออกไปก็โด่งงดังไปทั่วโลก โดยในภายหลังอาร์เดิร์นอธิบายว่ามันเป็นการแสดงความเคารพต่อชุมชนมุสลิมโดยธรรมชาติ
ผู้นำหญิงของนิวซีแลนด์ยังขอความร่วมมือทุกคนว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างชื่อเสียง สร้างความจดจำให้กับคนร้าย
นอกจากนี้ อาร์เดิร์นยังร่วมมือกับประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เพื่อเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ระงับการส่งเสริมลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งทางออนไลน์ ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่รู้จักกันในชื่อ ‘Christchurch Call’ หรือการเรียกร้องให้ดำเนินการของไครสต์เชิร์ชเป็นการประชุมสุดยอดทางการ ซึ่งจากการร่วมมือในครั้งนั้นทำให้นายกรัฐมนตรีได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติในแง่ของความเห็นอกเห็นใจที่เธอแสดงออกมาหลังเหตุโจมตีดังกล่าว
จากการตัดสินใจปิดประเทศตั้งแต่โควิดระบาดครั้งแรกๆ ทำให้นิวซีแลนด์มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพียงไม่กี่รายในช่วง 2 ปีแรกของการระบาดใหญ่ และยังเป็นหนึ่งในประเทศไม่กี่แห่งในโลกที่ไม่มีการแพร่เชื้อไวรัสในชุมชน ซึ่งนั่นช่วยให้อาร์เดิร์นได้รับเสียงข้างมากและชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2020 โดยเป็นเสียงข้างมากครั้งแรกในรัฐสภานับตั้งแต่มีการเลือกตั้งแบบสัดส่วนในปี 1996
หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาร์เดิร์นก็เคลื่อนไหวด้วยการปฏิรูปกฎหมายปืนอย่างเด็ดขาดและบังคับใช้อย่างรวดเร็วด้วยการแบนปืนยาวระบบกึ่งอัตโนมัติเลียนแบบปืนทหาร (MSSA) และปืนไรเฟิลจู่โจม พร้อมทั้งปลอบโยนครอบครัวของเหยื่อด้วยการสวมผ้าคลุมศีรษะ ซึ่งหลังจากภาพนี้ถูกปล่อยออกไปก็โด่งงดังไปทั่วโลก โดยในภายหลังอาร์เดิร์นอธิบายว่ามันเป็นการแสดงความเคารพต่อชุมชนมุสลิมโดยธรรมชาติ
ผู้นำหญิงของนิวซีแลนด์ยังขอความร่วมมือทุกคนว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างชื่อเสียง สร้างความจดจำให้กับคนร้าย
นอกจากนี้ อาร์เดิร์นยังร่วมมือกับประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เพื่อเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ระงับการส่งเสริมลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งทางออนไลน์ ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่รู้จักกันในชื่อ ‘Christchurch Call’ หรือการเรียกร้องให้ดำเนินการของไครสต์เชิร์ชเป็นการประชุมสุดยอดทางการ ซึ่งจากการร่วมมือในครั้งนั้นทำให้นายกรัฐมนตรีได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติในแง่ของความเห็นอกเห็นใจที่เธอแสดงออกมาหลังเหตุโจมตีดังกล่าว
นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยในยุคที่โควิด-19 กำลังปะทุขึ้น
ในยุคที่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆ นิวซีแลนด์เป็นอีกประเทศที่มีมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยอาร์เดิร์นได้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อปิดพรมแดนของนิวซีแลนด์อย่างมีประสิทธิภาพและกำหนดมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวด แม้ว่าในขณะนั้นประเทศจะมีผู้ติดเชื้อเพียง 200 รายก็ตามจากการตัดสินใจปิดประเทศตั้งแต่โควิดระบาดครั้งแรกๆ ทำให้นิวซีแลนด์มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพียงไม่กี่รายในช่วง 2 ปีแรกของการระบาดใหญ่ และยังเป็นหนึ่งในประเทศไม่กี่แห่งในโลกที่ไม่มีการแพร่เชื้อไวรัสในชุมชน ซึ่งนั่นช่วยให้อาร์เดิร์นได้รับเสียงข้างมากและชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2020 โดยเป็นเสียงข้างมากครั้งแรกในรัฐสภานับตั้งแต่มีการเลือกตั้งแบบสัดส่วนในปี 1996
นายกรัฐมนตรีหญิงในเวทีโลก

อาร์เดิร์น เป็นที่รู้จักกันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก ณ ขณะนั้นเมื่อปี 2017 และเป็นผู้นำโลกคนแรกที่นำลูกน้อยของเธอเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติด้วย นอกจากนี้ เธอยังได้รับยกย่องว่าเป็น ‘ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ’ และเป็นดาวเด่นของฝ่ายซ้ายทางการเมือง
ในฐานะประเทศเล็กๆ ที่อยู่ท้ายสุดของโลก อาร์เดิร์นทำให้นิวซีแลนด์ได้รับการยอมรับอย่างที่ชาวนิวซีแลนด์ต้องการ “ผมจะบอกว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในต่างประเทศของนิวซีแลนด์” ไบรซ์ เอ็ดเวิร์ด นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวในปี 2019
ขณะเดียวกัน กฎข้อบังคับในการฉีดวัคซีนโควิดของรัฐบาลก็ทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคมที่อีกด้วย เนื่องจากชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย ซึ่งผลที่ตามมาคือ การประท้วงต่อต้านวัคซีนเป็นเวลาราว 3 สัปดาห์บริเวณรัฐสภาในกรุงเวลลิงตันเมื่อปีที่แล้ว (2022) และจบลงด้วยการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจ
อย่างไรก็ดี การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ของอาร์เดิร์นค่อนข้างล้มเหลวเอาอย่างมากๆ ส่วนหนึ่งเพราะการรับมือกับโควิดที่ล้มเหลว ทำให้รัฐบาลของเธอเหลือพื้นที่สำหรับการปฏิรูปภายในประเทศน้อยลง ขณะเดียวกันที่วิกฤตค่าครองชีพก็กำลังลุกลามไปทั่วโลกก็ยิ่งทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
ในฐานะประเทศเล็กๆ ที่อยู่ท้ายสุดของโลก อาร์เดิร์นทำให้นิวซีแลนด์ได้รับการยอมรับอย่างที่ชาวนิวซีแลนด์ต้องการ “ผมจะบอกว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในต่างประเทศของนิวซีแลนด์” ไบรซ์ เอ็ดเวิร์ด นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวในปี 2019
เผชิญหน้ากับโควิดอีกครั้งที่นำไปสู่จุดต่ำสุดในฐานะผู้นำรัฐบาล
หลังจากประสบความสำเร็จกับการรับมือกับโควิด-19 ในระยะแรก แต่ทว่าเมื่อการระบาดกลับมาอีกครั้งรัฐบาลของอาร์เดิร์นกลับบริหารล้มเหลวในครั้งนี้ ทั้งการวางแผนและระบบขั้นตอนที่ผิดพลาดในการจัดการสถานที่กักกันผู้คนที่เดินทางกลับนิวซีแลนด์ โดยหนึ่งในกลุ่มที่ผิดหวังที่สุดกับการบริหารจัดการของรัฐบาลครั้งนี้ ก็คือ ชาวกีวีนับหมื่นคนที่ติดอยู่ต่างประเทศซึ่งไม่สามารถกลับมายังนิวซีแลนด์ได้เนื่องจากไม่มีสถานที่กักกันขณะเดียวกัน กฎข้อบังคับในการฉีดวัคซีนโควิดของรัฐบาลก็ทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคมที่อีกด้วย เนื่องจากชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย ซึ่งผลที่ตามมาคือ การประท้วงต่อต้านวัคซีนเป็นเวลาราว 3 สัปดาห์บริเวณรัฐสภาในกรุงเวลลิงตันเมื่อปีที่แล้ว (2022) และจบลงด้วยการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจ
ช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมยังเป็นปัญหาใหญ่
ภายหลังจากที่อาร์เดิร์นก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2017 พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะจัดการกับความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้นและปิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งในระยะแรกรัฐบาลผสมของเธอได้ยกเลิกแผนการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น เนื่องจากความกังวลจากความเสี่ยงทางการเมืองมากเกินไป ขณะที่โครงการสร้างบ้านราคาย่อมเยาหลายหมื่นหลังก็ยังไม่ถึงเป้าหมายอย่างไรก็ดี การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ของอาร์เดิร์นค่อนข้างล้มเหลวเอาอย่างมากๆ ส่วนหนึ่งเพราะการรับมือกับโควิดที่ล้มเหลว ทำให้รัฐบาลของเธอเหลือพื้นที่สำหรับการปฏิรูปภายในประเทศน้อยลง ขณะเดียวกันที่วิกฤตค่าครองชีพก็กำลังลุกลามไปทั่วโลกก็ยิ่งทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
กระแสคลั่ง ‘Jacinda-mania' จบลงแล้ว

นับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาลอาร์เดิร์นหลังรับมือและบริหารล้มเหลวสำหรับโควิด-19 ที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ การล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2021 ยังไม่ได้รับการสนับสนุนทางสังคมและการเงินอีก
ทั้งนี้ อาร์เดิร์นเองก็ถูกตำหนิว่าเธอยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องเชื้อเพลิง ราคาอาหาร ค่าเช่าบ้าน ผลกระทบอย่างต่อเนื่องของการระบาดของโอมิครอน รวมไปถึงการบังคับฉีดวัคซีน การจำกัดฝูงชน และการควบคุมชายแดนทำให้ชีวิตของผู้คนต้องหยุดชะงักนั้นอาจจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของอาร์เดิร์นก็ได้
โควิดถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดโชคชะตาทางการเมืองของอาร์เดิร์น เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รัฐบาลของอาร์เดิร์นก็กำลังเข้าสู่ความเสื่อมโทรมทางการเมือง ทำให้คะแนนความนิยมเริ่มลดลงและสร้างความกดดันให้อาร์เดิร์นอย่างมาก และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำอาร์เดิร์นประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง
“การนำพาประเทศของคุณผ่านช่วงเวลาแห่งความสงบสุขก็เป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่อีกเป้าหมายหนึ่งก็คือการนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดีเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี อาร์เดิร์น กล่าวว่า เธอไม่ได้ลาออกเพราะเชื่อว่าพรรคแรงงานจะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ เธอแค่คิดว่าจะลาออกก็เท่านั้น “เราต้องการรัฐบาลชุดใหม่เพื่อต่อสู้กับความท้าทายเหล่านั้น” เธอกล่าว
นอกจากนี้ อาร์เดิร์น ยังระบุเพิ่มเติมว่าความสำเร็จของรัฐบาลในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเคหะแห่งชาติ และการลดความยากจนในเด็กเป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจเป็นพิเศษ โดยเธอหวังว่า ‘ชาวนิวซีแลนด์จะจดจำเธอในฐานะคนที่พยายามมีเมตตาเสมอ’
“ฉันหวังว่าฉันจะฝากความหวังไว้กับชาวนิวซีแลนด์ว่า คุณสามารถเป็นคนใจดีแต่เข้มแข็ง เห็นอกเห็นใจแต่มีความมุ่งมั่น มองโลกในแง่ดีแต่มีสมาธิ และคุณสามารถเป็นผู้นำในแบบของตัวเองได้” เธอกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ อาร์เดิร์นเองก็ถูกตำหนิว่าเธอยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องเชื้อเพลิง ราคาอาหาร ค่าเช่าบ้าน ผลกระทบอย่างต่อเนื่องของการระบาดของโอมิครอน รวมไปถึงการบังคับฉีดวัคซีน การจำกัดฝูงชน และการควบคุมชายแดนทำให้ชีวิตของผู้คนต้องหยุดชะงักนั้นอาจจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของอาร์เดิร์นก็ได้
โควิดถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดโชคชะตาทางการเมืองของอาร์เดิร์น เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รัฐบาลของอาร์เดิร์นก็กำลังเข้าสู่ความเสื่อมโทรมทางการเมือง ทำให้คะแนนความนิยมเริ่มลดลงและสร้างความกดดันให้อาร์เดิร์นอย่างมาก และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำอาร์เดิร์นประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง
ความในใจถึงชาวนิวซีแลนด์
อาร์เดิร์นในวัย 42 ปี กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “6 ปีที่ผ่านมาเป็นความท้าทายในการทำงานและมันได้สูญเสียไปมากเพียงใด ฉันหวังว่าจะพบสิ่งที่ต้องการในขณะที่ดำรงตำแหน่งเพื่อดำเนินการต่อในช่วงเวลาดังกล่าว แต่โชคไม่ดีที่ฉันไม่พบ และฉันอาจสร้างความเสียหายให้กับนิวซีแลนด์หากยังเป็นนายกฯ ต่อไป”“การนำพาประเทศของคุณผ่านช่วงเวลาแห่งความสงบสุขก็เป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่อีกเป้าหมายหนึ่งก็คือการนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดีเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี อาร์เดิร์น กล่าวว่า เธอไม่ได้ลาออกเพราะเชื่อว่าพรรคแรงงานจะไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ เธอแค่คิดว่าจะลาออกก็เท่านั้น “เราต้องการรัฐบาลชุดใหม่เพื่อต่อสู้กับความท้าทายเหล่านั้น” เธอกล่าว
นอกจากนี้ อาร์เดิร์น ยังระบุเพิ่มเติมว่าความสำเร็จของรัฐบาลในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเคหะแห่งชาติ และการลดความยากจนในเด็กเป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจเป็นพิเศษ โดยเธอหวังว่า ‘ชาวนิวซีแลนด์จะจดจำเธอในฐานะคนที่พยายามมีเมตตาเสมอ’
“ฉันหวังว่าฉันจะฝากความหวังไว้กับชาวนิวซีแลนด์ว่า คุณสามารถเป็นคนใจดีแต่เข้มแข็ง เห็นอกเห็นใจแต่มีความมุ่งมั่น มองโลกในแง่ดีแต่มีสมาธิ และคุณสามารถเป็นผู้นำในแบบของตัวเองได้” เธอกล่าวทิ้งท้าย