สำนักข่าว BBC รายงานว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวในที่ประชุมสภาสิทธิมนุษยชนประจำปีของรัสเซียว่า ภัยคุกคามของสงครามนิวเคลียร์กำลังเพิ่มขึ้น แต่ยืนยันว่ารัสเซียไม่ได้บ้า และจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน โดยรัสเซียจะใช้อาวุธทำลายล้างสูงเพื่อตอบโต้การโจมตีเท่านั้น ทั้งยังเสริมว่าสงครามในยูเครนอาจเป็น ‘กระบวนการที่ยาวนาน’
“ภัยคุกคามดังกล่าวกำลังเพิ่มมากขึ้น การปกปิดมันไม่ใช่เรื่องผิด” ปูตินเตือนขณะพูดถึงแนวโน้มของสงครามนิวเคลียร์ผ่านวิดีโอลิงก์จากมอสโก แต่เขายืนยันว่า “ไม่ว่าในกรณีใดๆ รัสเซียจะไม่ใช้อาวุธก่อน และจะไม่คุกคามใครด้วยอาวุธนิวเคลียร์…เราไม่ได้บ้า เราตระหนักดีว่าอาวุธนิวเคลียร์คืออะไร เราจะไม่วิ่งไปทั่วโลกและกวัดแกว่งอาวุธนี้เหมือนมีดโกน”
ปูตินยังโอ้อวดอีกว่า รัสเซียมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ทันสมัยและล้ำหน้าที่สุดในโลก พร้อมทั้งเปรียบเทียบยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ของรัสเซียกับสหรัฐฯ ว่า รัสเซียจะไม่ตั้งฐานอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนอื่น “เราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงอาวุธทางยุทธวิธี ในดินแดนของประเทศอื่น แต่ชาวอเมริกันมีในตุรกี และหลายประเทศในยุโรป” เขากล่าว
นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังโอ้อวดว่าการผนวกดินแดนทำให้ทะเลอาซอฟซึ่งมีพรมแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครนและทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียเป็น ‘ทะเลภายใน’ ของรัสเซีย และเสริมว่านี่เป็นปณิธานของจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1
อย่างไรก็ตาม แม้รัสเซียจะอ้างสิทธิ์ในดินแดนเคอร์ซอน ซาปอริซเซีย ลูฮันสก์ และโดเนตสก์เป็นดินแดนใหม่ของรัสเซีย แต่ก็ไม่ได้ควบคุมพื้นที่เหล่านั้นอย่างเต็มที่
เมื่อเดือนที่แล้ว กองกำลังรัสเซียถูกบีบให้ล่าถอยจากเมืองเคอร์ซอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งเดียวในภูมิภาคที่พวกเขายึดได้ตั้งแต่การรุกรานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยความพ่ายแพ้ในแนวหน้าทำให้รัสเซียพุ่งเป้าไปที่โครงข่ายไฟฟ้าของยูเครนด้วยการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ทั่วประเทศ
และการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน ทำให้พลเรือนหลายล้านคนไม่มีเครื่องทำความร้อนและไฟฟ้าเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าศูนย์
ด้าน วิตาลี คลิทช์โก นายกเทศมนตรีเมืองเคียฟ เตือนว่า เมืองหลวงของยูเครน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดไฟ อาจเผชิญกับหายนะ “เคียฟอาจสูญเสียพลังงาน น้ำ และความร้อน ซึ่งอาจเกิดหายนะขึ้น ในขณะอุณหภูมิก็ต่ำลงเรื่อยๆ” แม้ว่าจะมีการสร้างที่พักอาศัยที่มีระบบทำความร้อนในเมือง แต่คลิทช์โกยอมรับว่ามีไม่เพียงพอสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกคน และผู้คนควรเตรียมพร้อมที่จะอพยพหากสถานการณ์เลวร้ายลง
“ภัยคุกคามดังกล่าวกำลังเพิ่มมากขึ้น การปกปิดมันไม่ใช่เรื่องผิด” ปูตินเตือนขณะพูดถึงแนวโน้มของสงครามนิวเคลียร์ผ่านวิดีโอลิงก์จากมอสโก แต่เขายืนยันว่า “ไม่ว่าในกรณีใดๆ รัสเซียจะไม่ใช้อาวุธก่อน และจะไม่คุกคามใครด้วยอาวุธนิวเคลียร์…เราไม่ได้บ้า เราตระหนักดีว่าอาวุธนิวเคลียร์คืออะไร เราจะไม่วิ่งไปทั่วโลกและกวัดแกว่งอาวุธนี้เหมือนมีดโกน”
ปูตินยังโอ้อวดอีกว่า รัสเซียมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ทันสมัยและล้ำหน้าที่สุดในโลก พร้อมทั้งเปรียบเทียบยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ของรัสเซียกับสหรัฐฯ ว่า รัสเซียจะไม่ตั้งฐานอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนอื่น “เราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงอาวุธทางยุทธวิธี ในดินแดนของประเทศอื่น แต่ชาวอเมริกันมีในตุรกี และหลายประเทศในยุโรป” เขากล่าว
นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังโอ้อวดว่าการผนวกดินแดนทำให้ทะเลอาซอฟซึ่งมีพรมแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครนและทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียเป็น ‘ทะเลภายใน’ ของรัสเซีย และเสริมว่านี่เป็นปณิธานของจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1
อย่างไรก็ตาม แม้รัสเซียจะอ้างสิทธิ์ในดินแดนเคอร์ซอน ซาปอริซเซีย ลูฮันสก์ และโดเนตสก์เป็นดินแดนใหม่ของรัสเซีย แต่ก็ไม่ได้ควบคุมพื้นที่เหล่านั้นอย่างเต็มที่
เมื่อเดือนที่แล้ว กองกำลังรัสเซียถูกบีบให้ล่าถอยจากเมืองเคอร์ซอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งเดียวในภูมิภาคที่พวกเขายึดได้ตั้งแต่การรุกรานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยความพ่ายแพ้ในแนวหน้าทำให้รัสเซียพุ่งเป้าไปที่โครงข่ายไฟฟ้าของยูเครนด้วยการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ทั่วประเทศ
และการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน ทำให้พลเรือนหลายล้านคนไม่มีเครื่องทำความร้อนและไฟฟ้าเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าศูนย์
ด้าน วิตาลี คลิทช์โก นายกเทศมนตรีเมืองเคียฟ เตือนว่า เมืองหลวงของยูเครน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดไฟ อาจเผชิญกับหายนะ “เคียฟอาจสูญเสียพลังงาน น้ำ และความร้อน ซึ่งอาจเกิดหายนะขึ้น ในขณะอุณหภูมิก็ต่ำลงเรื่อยๆ” แม้ว่าจะมีการสร้างที่พักอาศัยที่มีระบบทำความร้อนในเมือง แต่คลิทช์โกยอมรับว่ามีไม่เพียงพอสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกคน และผู้คนควรเตรียมพร้อมที่จะอพยพหากสถานการณ์เลวร้ายลง