สำนักข่าว Dailymail รายงานว่า หน่วยข่าวกรองทางทหารของลิทัวเนียระบุถึงความคืบหน้าล่าสุดว่า ขณะนี้รัสเซียมีอาวุธเพียงพอที่จะทำให้สงครามยูเครนดำเนินต่อไปได้อีก 2 ปี แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาติอื่นก็ตาม
“รัสเซียได้สะสมอาวุธและยุทโธปกรณ์ตลอดช่วงหลายปีของสงครามเย็น เราประเมินว่าทรัพยากร (ของรัสเซีย) จะอยู่ได้อีก 2 ปีของสงครามที่มีความรุนแรงเช่นเดียวกับในปัจจุบัน” เอเลจิจูส พอลลาวิเชียส หัวหน้าข่าวกรองทางทหารกล่าว
“รัสเซียมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากเก็บสำรองไว้ ซึ่งอาวุธเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบูรณะได้” พอลลาวิเชียส กล่าว ทั้งนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการประเมินขึ้นอยู่กับมุมมองที่ไม่มีต่างประเทศใดเข้ามาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่มอสโก
อย่างไรก็ดี อาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียอาจอยู่ได้นานกว่า 2 ปีโดยประมาณ เนื่องจากมีความกลัวอยู่แล้วว่าจีนกำลังจัดหาโดรนให้รัสเซีย หลังจากที่นิตยสาร Der Spiegel ของเยอรมันรายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่ารัสเซียกำลังเจรจากับผู้ผลิตจีนเพื่อซื้อโดรน ZT-180 จำนวน 100 ลำ พร้อมทั้งส่งมอบภายในเดือนเมษายนนี้
ตามคำกล่าวอ้างของทำเนียบขาวระบุว่า เกาหลีเหนือก็ได้ส่งกระสุนปืนใหญ่ให้รัสเซียเพื่อสนับสนุนการรุกรานยูเครนด้วย ขณะเดียวกัน รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธระลอกใหญ่ทั่วยูเครนเมื่อวันพฤหัสบดี (9 ม.ค.) ที่ผ่านมา ช่วงที่ผู้คนกำลังหลับใหล และสังหารพลเรือนไปอย่างน้อย 9 ราย
กระทรวงกลาโหมของรัสเซียกล่าวว่า พวกเขาได้ทำการโจมตีตอบโต้ครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองการโจมตีข้ามพรมแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอ้างว่าได้โจมตีเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ทั้งหมดด้วยการทำลายฐานโดรน ขัดขวางทางรถไฟ และสร้างความเสียหายแก่โรงงานที่สร้างและซ่อมแซมอาวุธ
มอสโก กล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดความสามารถในการสู้รบของยูเครน ขณะที่เคียฟ กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศไม่มีจุดประสงค์ทางทหารและมีเป้าหมายที่จะทำร้ายและข่มขู่พลเรือน ซึ่งเป็นอาชญากรรมสงคราม
ทั้งนี้ มอสโกยืนยันว่าได้ใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกความเร็วเหนือเสียงคินซาล (Kinzhal) ในการโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอาวุธจำนวนมาก ซึ่งยูเครนไม่มีทางที่จะยิงทิ้งได้
ด้านทำเนียบขาวกล่าวว่าการระดมยิงนั้นสามารถทำลายล้างได้ และวอชิงตันจะยังคงจัดหาขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศให้กับยูเครนต่อไป
นอกจากนี้ยังเชื่อว่ารัสเซียมีขีปนาวุธคินซาลอยู่เพียงไม่กี่โหลที่บินได้เร็วกว่าความเร็วเสียงหลายเท่า และถูกสร้างขึ้นเพื่อบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ที่มีพิสัยทำการมากกว่า 2,000 กม. (1,200 ไมล์)
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการประมาณการทรัพยากรของรัสเซียแล้ว รายงานข่าวกรองลิทัวเนียยังเสนอว่าการระดมพลของรัสเซียเมื่อปีที่แล้วยังแสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนสงครามในยูเครนนั้นไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลที่พยายามทำให้ดูเหมือน
“ความไม่พอใจต่อนโยบายของรัฐบาลกำลังอยู่ในรูปแบบเชิงรับ โดยส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการระดมพล การบ่นเกี่ยวกับเสบียงอาหารที่ไม่ดี และความระส่ำระสายในกองทัพ”
“นอกจากนี้ยังเพิ่มความเป็นไปได้ที่ความล้มเหลวของรัสเซียในสนามรบ การระดมพลเพิ่มเติม และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงอย่างกะทันหันว่าจะส่งผลเชิงลบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล” เอกสาร ระบุ
“รัสเซียได้สะสมอาวุธและยุทโธปกรณ์ตลอดช่วงหลายปีของสงครามเย็น เราประเมินว่าทรัพยากร (ของรัสเซีย) จะอยู่ได้อีก 2 ปีของสงครามที่มีความรุนแรงเช่นเดียวกับในปัจจุบัน” เอเลจิจูส พอลลาวิเชียส หัวหน้าข่าวกรองทางทหารกล่าว
“รัสเซียมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากเก็บสำรองไว้ ซึ่งอาวุธเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบูรณะได้” พอลลาวิเชียส กล่าว ทั้งนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการประเมินขึ้นอยู่กับมุมมองที่ไม่มีต่างประเทศใดเข้ามาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่มอสโก
อย่างไรก็ดี อาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียอาจอยู่ได้นานกว่า 2 ปีโดยประมาณ เนื่องจากมีความกลัวอยู่แล้วว่าจีนกำลังจัดหาโดรนให้รัสเซีย หลังจากที่นิตยสาร Der Spiegel ของเยอรมันรายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่ารัสเซียกำลังเจรจากับผู้ผลิตจีนเพื่อซื้อโดรน ZT-180 จำนวน 100 ลำ พร้อมทั้งส่งมอบภายในเดือนเมษายนนี้
ตามคำกล่าวอ้างของทำเนียบขาวระบุว่า เกาหลีเหนือก็ได้ส่งกระสุนปืนใหญ่ให้รัสเซียเพื่อสนับสนุนการรุกรานยูเครนด้วย ขณะเดียวกัน รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธระลอกใหญ่ทั่วยูเครนเมื่อวันพฤหัสบดี (9 ม.ค.) ที่ผ่านมา ช่วงที่ผู้คนกำลังหลับใหล และสังหารพลเรือนไปอย่างน้อย 9 ราย
กระทรวงกลาโหมของรัสเซียกล่าวว่า พวกเขาได้ทำการโจมตีตอบโต้ครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองการโจมตีข้ามพรมแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอ้างว่าได้โจมตีเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ทั้งหมดด้วยการทำลายฐานโดรน ขัดขวางทางรถไฟ และสร้างความเสียหายแก่โรงงานที่สร้างและซ่อมแซมอาวุธ
มอสโก กล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดความสามารถในการสู้รบของยูเครน ขณะที่เคียฟ กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศไม่มีจุดประสงค์ทางทหารและมีเป้าหมายที่จะทำร้ายและข่มขู่พลเรือน ซึ่งเป็นอาชญากรรมสงคราม
ทั้งนี้ มอสโกยืนยันว่าได้ใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกความเร็วเหนือเสียงคินซาล (Kinzhal) ในการโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอาวุธจำนวนมาก ซึ่งยูเครนไม่มีทางที่จะยิงทิ้งได้
ด้านทำเนียบขาวกล่าวว่าการระดมยิงนั้นสามารถทำลายล้างได้ และวอชิงตันจะยังคงจัดหาขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศให้กับยูเครนต่อไป
นอกจากนี้ยังเชื่อว่ารัสเซียมีขีปนาวุธคินซาลอยู่เพียงไม่กี่โหลที่บินได้เร็วกว่าความเร็วเสียงหลายเท่า และถูกสร้างขึ้นเพื่อบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ที่มีพิสัยทำการมากกว่า 2,000 กม. (1,200 ไมล์)
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการประมาณการทรัพยากรของรัสเซียแล้ว รายงานข่าวกรองลิทัวเนียยังเสนอว่าการระดมพลของรัสเซียเมื่อปีที่แล้วยังแสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนสงครามในยูเครนนั้นไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลที่พยายามทำให้ดูเหมือน
“ความไม่พอใจต่อนโยบายของรัฐบาลกำลังอยู่ในรูปแบบเชิงรับ โดยส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการระดมพล การบ่นเกี่ยวกับเสบียงอาหารที่ไม่ดี และความระส่ำระสายในกองทัพ”
“นอกจากนี้ยังเพิ่มความเป็นไปได้ที่ความล้มเหลวของรัสเซียในสนามรบ การระดมพลเพิ่มเติม และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงอย่างกะทันหันว่าจะส่งผลเชิงลบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล” เอกสาร ระบุ
