วิวาทะ ‘กุน ขแมร์’ การเมืองเรื่องการเคลมกับความโมเมไม่รู้จบของกัมพูชา

25 ม.ค. 2566 - 07:53

  • ทุกครั้งที่การเมืองในกัมพูชามีปัญหา คนกัมพูชาจะถูกปั่นให้ทะเลาะกับคนภายนอก

  • ชาตินิยมตื้นเขินและหลงตัวเอง เป็นอันตรายต่อสติปัญญาของคนกัมพูชาเอง

The-politics-of-originator-of-everything-the-case-of-kun-khmer-and-muay-thai-SPACEBAR-Hero
คงไม่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศเรื่องไหนที่จะร้อนแรงเท่ากับแย่งชิงความเป็นเจ้าต้นตำรับระหว่าง ‘มวยไทย’ กับ ‘กุน ขแมร์’อีกแล้ว หลังจากที่กัมพูชายัดกีฬาพื้นบ้านประเภทศิลปะป้องกันตัวของพวกเขาเข้าสู่การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ โดยสวมทับมวยไทย ราวกับว่า ‘กุน แขมร์’ คือมวยไทย จนทำให้คนไทยทนไม่ไหว ต้องเปิดศึกแย่งชิงสมบัติทางวัฒนธรรมกับคนแขมร์อีกครั้ง  

แต่เราจะไม่พูดถึงกุน ขแมร์ในแง่ของกีฬา เพราะมันมีแง่มุมเชิงเทคนิคที่ต้องเถียงกันอีกยาว (ซึ่งน่าจะจบยากเหมือนกัน) ในบทความนี้เราจะพูดถึงความโมเมและมโนไปเองของกัมพูชาที่ดูเหมือนจะอ้างความเป็นเจ้าของทุกสิ่งในจักรวาลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภูมิภาคแผ่นดินใหญ่กีฬาประเภทชกๆ ต่อยๆ เหมือนกันหมด ในไทยเรียกว่า ‘มวยไทย’ ในลาวเรียกว่า ‘มวยลาว’ ในเมียนมาเรียกว่า ‘และเหว่’ และในกัมพูชาเรียกว่า ‘ประฎาล’ ส่วนคนเวียดนามและมลายูมีศิลปะการป้องกันตัวคนละขนบกับการใช้ศอกใช้ เข่าเหล่านี้ 

เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ประฎาล’ ของกัมพูชา หมายถึงการชกต่อยนั่นเอง เมื่อเรียกเป็นกีฬาจะเติมคำเข้าไปเป็น ‘ประฎาลเสรี’ หมายถึงการชกต่อยเสรี ฟังดูแล้วไม่เหมือนเป็นกีฬาที่มีขนบและกติกา แต่ให้ความรู้สึกเหมือนการชกสะเปะสะปะเสียมากกว่า แต่แน่ล่ะ มันไม่ใช่การชกมั่วๆ มันมีขนบและธรรมเนียมของมันที่ควรค่าแก่การยกย่องด้วย  

‘ประฎาลเสรี’ เดี๋ยวนี้เรียกว่า ‘คุน แขมร์’ หรือออกเสียว่า ‘กุน แขมร์’ ซึ่งมีความหมายว่า การชกต่อย (หรือมวย) ของคนขแมร์ 

อย่างที่บอกไปว่าการกีฬาชกต่อยในภูมิภาคนี้มีร่วมกัน แต่เรียกต่างกัน สิ่งที่ต่างกันอีกอย่างคือ ท่วงท่าและลีลา อย่างที่ภาษามวยเรียกว่า ‘แม่ไม้’ กับ ‘ลูกไม้’ ท่วงท่าเหล่านี้ต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ยังไม่ทับแท็คติกการชกที่ต่างกันตามสำนัก ดังนั้นมันจึงคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่ควรจะเรียกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ควรจะสวมทับกันโดยอ้างว่ามวยของตัวเองเป็นจุดกำเนิดของทุกมวย 

คนที่ ‘เคลม’ แบบนั้นคือชาวแชมร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งหมกมุ่นกับชาตินิยมที่ตื้นเขิน ขาดความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมตัวเองจนต้องไปฉกชิงความเป็นเจ้าของของคนอื่นๆ และขาดความรู้ในรากเหง้าของตัวเอง เพราะการศึกษายังไม่ก้าวหน้า และ (กลับไปสู่ข้อแรก) ถูกชาตินิยมที่ชั่วร้ายมอมเมาให้หลงว่าตัวเองคือศูนย์กลางจักรวาล  

ความหลงแบบนั้นเรียกว่า Chauvinism คือหลงว่าชาติตัวเองใหญ่ที่สุด เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง ชาติอื่นนั้นเป็นเพียงพวกตัวเล็กตัวน้อย ไม่สำคัญเท่ากับเรา 

ชาตินิยมที่ชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นจากการเมืองที่เหลวแหลกของกัมพูชาเอง ที่ถูกกุมเอาไว้ในมือของผู้ชายเพียงคนเดียวมานานเกือบ 40 ปีแล้ว ชายผู้นั้นคือ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน 

หากจะตามการเมืองกัมพูชาและความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านอย่างไทย เราจะพบความคล้องจองกันอย่างหนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่การเมืองในกัมพูชามีปัญหา ทุกครั้งที่ฮุนเซน ถูกต่อต้าน ทุกครั้งที่ใกล้การเลือกตั้ง คนกัมพูชาจะถูกปั่นให้ทะเลากับคนภายนอก ราวกับเพื่อเบนความสนใจ (หรือความไม่พอใจ) ออกไปที่ประเทศข้างๆ เพื่อที่ผู้มีอิทธิพลในประเทศจะรอดตัว 

กลางปี 2023 ก็เช่นกัน ที่กัมพูชาจะมีการเลือกตั้งใหญ่ เพื่อชี้ชะตาอีกครั้งว่า ฮุน เซน จะอยู่เป็นนายกฯ ต่อหรือว่าจะไป  

ไม่มีอะไรที่จะปั่นหัวผู้คนที่กำลังจะจ้องเลานงานผู้นำได้ดีเท่ากับสร้างศัตรูภายนอก โดยทำให้ประเทศข้างๆ เป็น ‘หัวขโมย’ และชาวขแมร์ทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจต่อสู้เพื่อความ ‘ถูกต้อง’ และผลักดัน ‘ความเป็นเจ้าของที่แท้จริง’  

มีหลายกรณีเกินกว่าจะสาธยายได้หมด แต่เราจะเห็นแพทเทิร์นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และ ‘กุน ขแมร์’ ก็เป็นกรณีหนึ่ง ไม่ใช่แค่สวมทับแทนที่มวยไทย แต่ยังทำเป็นขบวนการ ‘ปลอมประวัติศาสต์’ เพื่อลดคุณค่ามวยไทยว่าเป็นแค่ลูกหลานของมวยขแมร์ หรือพูดแรงๆ ก็คือโมเมว่า ‘ไทยลอกแขมร์’ ไป 

หากจะถามถึงประวัติของ ‘กุน แขมร์’ เราจะพบว่ามันเป็นแค่การอ้างลอยๆ ว่าเป็นศิลปะการต่อสู้จากยุคจักรวรรดิเขมรโบราณ (แต่รัชสมัยไหน ปีไหนไม่มีใครรู้) แต่เพื่อให้น่าเชื่อถือพวกเขาจะอ้างรูปแกะสลักตามปราสาทหินที่เป็นรูปตัวละครในเทวนิยายกำลังต่อสู้กัน แล้วอ้างว่านั่นคือการบันทึกท่วงท่าของ กุน ขแมร์(แต่มันท่าอะไร และแม่ไม้อะไรไม่มีใครบอกได้)  

และเพื่อที่จะตอกย้ำว่าไทยลอกแขมร์ไป พวกเขาจะเล่าย้ำว่า ดินแดนของประเทศไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแขมร์โบราณ (แต่ไม่มีหลักฐานว่าไทยรับอะไรจากแขมร์ไปบ้าง) ด้วยตรรกะนี้ เราจะได้ประวัติศาสตร์ (ลอยๆ) ของ กุน ขแมร์ ก็คือ (อ้างว่า) เกิดในยุคแขมร์โบราณ ในยุคนั้นดินแดนของไทยเป็นส่วนหนึ่งของขแมร์โบราณ ดังนั้นไทยต้องรับมวยขแมร์ไป แล้วต่อมาอ้างว่าเป็นมวยไทย 

ถ้าใช้ตรรกะนี้ ไทยก็สามารถอ้างได้ว่ากัมพูชาเคยเป็นประเทศราชของไทย และพื้นที่ 1 ใน 3 ของกัมพูชาเป็นดินแดนของไทยด้วยซ้ำ ในยุคนี้เองที่กัมพูชารับวัฒนธรรมจากไทยมากมาย ทั้ง นาฏศิลป์ การเมืองการปกครอง หรือแม้แต่กษัตริย์กัมพูขาก็ต้องตั้งไปจากกรุงเทพฯ นี่ไม่ใช่การเคลมลอยๆ เหมือนกับกุน ขแมร์ แต่เต็มไปด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงอยู่ทนโท่ 

เอาจริงๆ หลักฐานประเภทภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวของมวยขแมร์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นั้นมักมาจากแถบพระตะบองและเสียมราฐ ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ 1 ใน 3 ของกัมพูชาที่เคยเป็นดินแดนของไทย  

ถ้าอ้างหลักฐานแค่นี้ (แบบที่ กุน ขแมร์ ทำ) ไทยก็จะอ้างได้ว่ามวยขแมร์นั่นแหละที่ได้มาจากดินแดนของไทยเมื่อต้นศตวรรษที่แล้ว โดยมีหลักฐานตำตากว่าหินแกะสลักอะไรก็ไม่รู้เสียอีก  

แต่ตรรกะลอยๆ ของ กุน ขแมร์ ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงนี้ถูกย้ำไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นข้อเท็จจริง ก็เพื่อเสริมวาทกรรมชาตินิยมที่เลวร้ายที่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมืองในกัมพูชา มันไม่เพียงบ่อนทำลายรากฐานทางการเมืองของตัวเอง แต่ยังบ่อนทำลายสติปัญญาของคนกัมพูชาเองด้วย  

กุน ขแมร์  สามารถมีตัวตนของมันเองได้โดยไม่ต้องทำลายตัวตนของมวยชาติอื่น แต่เพราะอัตลักษณ์ของ กุน ขแมร์ นั้นถูกทำลายไปตามกาลเวลาและความขัดแย้งทางการเมือง (หรืออาจจะไม่มีอัตลักษณ์เลยก็ได้ใครจะรู้?) ทำให้มันมีสถานะที่เปราะบาง ถูกมองข้ามจากคนภายนอกที่คลั่งไคล้มวยไทยมากกว่า  

ดังนั้น เพื่อทำให้อัตลักษณ์แกร่งขึ้นมา พวกเขาจึงต้องทำลายอัตลักษณ์คนอื่น แม้ว่าจะต้องมโนและโมเมขึ้นมาก็ยังทำมันหน้าตาเฉย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เพียงเพราะพวกเขารู้สึก ‘Insecure’ กับตัวตนของตนเอง ถึงขนาดต้องบ่อนทำลายคนอื่น  

กุน ขแมร์ ไม่จำเป็นต้องเลือกเส้นทางนั้น พวกเขาเพียงแค่วาง Mentality ที่เป็นชาตินิยมแบบคลั่งไม่ลืมหูลืมตาลงเสีย แล้วลองดูว่า มวยขนบต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยืนหยัดอยู่ได้อย่างภาคภูมิโดยไม่ต้องทำลายอัตลักษณ์คนอื่น ไม่ต้องปลอมประวัติศาสตร์ขึ้นมา ไม่ต้องประดิษฐ์ของปลอมขึ้นเมื่อที่จะไล่ตามขนบมวยอื่นๆ พวกเขาแค่รักษาสิ่งที่มี ค้นหาสิ่งเดิมที่ถูกทอดทิ้ง เพื่อสร้างมวยของตัวเองให้เทียบชั้นมวยอื่นๆ ได้อย่างภาคภูมิ 

เราไม่ได้พูดถึงแค่มวย แต่พูดถึงทุกแง่มุมชีวิตของพวก Troll การเมืองของกัมพูชา ที่ควรจะเลิกเป้นทาส Chauvinism ที่หลงว่าตัวเองเป็นประเทศใหญ่โตและสร้างทุกสิ่งขึ้นมาเสียที เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการหลอกตัวเอง และเป็นเหยื่ออันโอชะของนักการเมืองที่เป็น ‘นักปล้น’ ตัวจริง  

ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านที่คอยยื่นมือช่วยค้ำชูพวกเขามาตลอด โดยเฉพาะการช่วยถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เกือบจะสาบสูญของพวกเขาเอาไว้ ให้เชิดหน้าชูตาได้ต่อไป 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์