สถิติสุดแสนจะน่าเหลือเชื่อได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเทศ ‘เดนมาร์ก’ เนื่องจากในปี 2022 ที่ผ่านมา เดนมาร์กมีจำนวนการปล้นธนาคารเป็น 0 (ศูนย์) หลังจากเพิ่มการรักษาความปลอดภัย บวกกับการใช้เงินสดที่ลดลงในประเทศกลุ่มนอร์ดิก ทำให้การปล้น (เงินสด) ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไร
เดนมาร์กมีประชากรประมาณ 5.9 ล้านคน และเป็นประเทศที่มักจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ขณะที่ในปี 2022 ประเทศเดนมาร์กถูกจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกในอันดับที่ 2 รองจากประเทศฟินแลนด์ โดยได้คะแนนสูงจากมาตรการต่างๆ เช่น ยอด GDP การสนับสนุนทางสังคม และการคอร์รัปชันต่ำ
ตามข้อมูลจาก Finance Denmark ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ให้กู้ระบุว่า ประเทศเดนมาร์กมีสถิติการปล้นธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2000 โดยในปี 2021 เดนมาร์กมีการปล้นธนาคารเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ไมเคิล บุสค์-เจปเซ่น ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลของ Finance Denmark กล่าวว่า การเฝ้าระวังด้วยกล้องที่เพิ่มขึ้น ระบบเตือนภัยที่ดีขึ้น และความร่วมมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับตำรวจช่วยให้จำนวนการปล้นลดลง
บุสค์-เจปเซน กล่าวต่อว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การปล้นธนาคารมีจำนวนลดลงคือ การลดจำนวนพนักงาน จากสาขาธนาคารประมาณ 800 แห่งในเดนมาร์ก มีเพียง 20 แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีเจ้าหน้าที่จัดการการฝากเงินและถอนเงิน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ใช้บริการจากตู้ ATM ที่มีอยู่ประมาณ 2,000 เครื่องในประเทศ
Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากธนาคารกลางว่า ชาวเดนมาร์กมีการใช้บัตร และแอปพลิเคชันในการชำระเงินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีเงินสดหมุนเวียนน้อยลง และการถอนเงินสดยังลดลงประมาณ 75% ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีการปล้นธนาคารกำลังลดลงในประเทศอื่นๆ เช่นกัน อ้างอิงจากสถิติอาชญากรรมธนาคารของ FBI ระบุว่า ธนาคารในสหรัฐฯ ประสบปัญหาการปล้นในปี 2021 ทั้งหมด 1,724 ครั้ง ซึ่งลดลงจากปี 2004 ซึ่งมีสถิติสูงถึง 7,556 ครั้ง
อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดไปสู่ธนาคารดิจิทัล ทำให้เกิดเป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การแฮ็ก และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่รายละเอียดของธนาคารและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ซึ่ง บุสค์-เจปเซ่น ให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า การฉ้อโกงทางธนาคารออนไลน์กำลังเพิ่มขึ้นในเดนมาร์ก ‘ในสมัยก่อนโจรจะไปที่ธนาคาร แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไปหาลูกค้าแทน’
ขณะที่การใช้เงินสดจะเพิ่มขึ้นในหลายๆ ส่วนของโลก แต่ชาวนอร์ดิกกลับใช้จ่ายเงินสดลดลง และหันไปใช้วิธีการชำระเงินแบบดิจิทัล โดยชาวนอร์ดิกคิดว่ามันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับร้านค้า ให้ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และทำให้อาชญากรฟอกเงินได้ยากขึ้น ด้วยความไว้วางใจในสถาบันการเงินและความเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงทำให้กลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็นตัวเต็งในการสร้างสังคมไร้เงินสดแห่งแรกของโลก
ในปี 2018 นักวิจัยจาก Royal Institute of Technology และ Copenhagen Business School ในกรุงสตอกโฮล์มพยายามกำหนดวันโดยคำนวณเอาไว้ว่าในวันที่ 24 มี.ค. ปี 2023 พ่อค้าแม่ค้าชาวสวีเดนจะไม่สามารถรับเงินสดได้อีกต่อไป อีกทั้งยังประเมิณไว้อีกว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้ากว่าครึ่งนึงจะไม่ยอมรับเงินสดอีกต่อไปภายในปี 2025
การคาดการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งทั้งในสวีเดนและประเทศกลุ่มนอร์ดิก ในปี 2016 เงินสดมีสัดส่วนเพียง 1% ของมูลค่าการชำระเงินทั้งหมดในสวีเดน และใช้ในการทำธุรกรรมน้อยกว่า 20% ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้านี้
ในเดนมาร์กความต้องการเงินสดที่ลดลงทำให้ธนาคารแห่งชาติตัดสินใจหยุดพิมพ์เงินของตัวเองในปี 2015 โดยเลือกที่จะจ้างงานนี้ให้กับซัพพลายเออร์ฝรั่งเศสแทน
ด้านธนาคารแห่งประเทศฟินแลนด์ได้คำนวณว่าการใช้ธนบัตรในฟินแลนด์จะสิ้นสุดภายในปี 2029 เป็นอย่างช้าที่สุด ขณะที่ในนอร์เวย์ ประเด็นเรื่องการสร้างสังคมไร้เงินสดภายในปี 2030 ยังถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายทางการเมืองโดยพรรคอนุรักษนิยมอีกด้วย
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากชาวนอร์ดิกคือ พวกเขามีความไว้วางใจสูงในสถาบันต่างๆ เช่น ธนาคาร และเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ การชำระเงินด้วยบัตรเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจ อ้างอิงจากสถิติจาก Visa แสดงให้เห็นว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็น ‘ผู้นำระดับโลก’ ในด้านการชำระเงินผ่านบัตร
อีกตัวอย่างหนึ่งของการเปิดกว้างของชาวยุโรปต่อรูปแบบการชำระเงินใหม่คือ การเติบโตของแอปฯ ชำระเงินผ่านมือถือ เมื่อรวมกันแล้ว Swish, Vipps และ Mobile Pay มีผู้ใช้รวมกันมากกว่าา 13 ล้านคนทั่วสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก และฟินแลนด์ ตอนนี้แอปฯ ได้ให้บริการประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ ขณะที่แอปฯ เหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยธนาคารเพื่อเป็นทางเลือกแทนเงินสดสำหรับการชำระเงินแบบ peer-to-peer แต่ตอนนี้สามารถใช้ได้ทั้งการซื้อในร้านค้าและออนไลน์
เดนมาร์กมีประชากรประมาณ 5.9 ล้านคน และเป็นประเทศที่มักจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ขณะที่ในปี 2022 ประเทศเดนมาร์กถูกจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกในอันดับที่ 2 รองจากประเทศฟินแลนด์ โดยได้คะแนนสูงจากมาตรการต่างๆ เช่น ยอด GDP การสนับสนุนทางสังคม และการคอร์รัปชันต่ำ
ตามข้อมูลจาก Finance Denmark ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ให้กู้ระบุว่า ประเทศเดนมาร์กมีสถิติการปล้นธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2000 โดยในปี 2021 เดนมาร์กมีการปล้นธนาคารเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ไมเคิล บุสค์-เจปเซ่น ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลของ Finance Denmark กล่าวว่า การเฝ้าระวังด้วยกล้องที่เพิ่มขึ้น ระบบเตือนภัยที่ดีขึ้น และความร่วมมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับตำรวจช่วยให้จำนวนการปล้นลดลง
บุสค์-เจปเซน กล่าวต่อว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การปล้นธนาคารมีจำนวนลดลงคือ การลดจำนวนพนักงาน จากสาขาธนาคารประมาณ 800 แห่งในเดนมาร์ก มีเพียง 20 แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีเจ้าหน้าที่จัดการการฝากเงินและถอนเงิน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ใช้บริการจากตู้ ATM ที่มีอยู่ประมาณ 2,000 เครื่องในประเทศ
Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากธนาคารกลางว่า ชาวเดนมาร์กมีการใช้บัตร และแอปพลิเคชันในการชำระเงินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีเงินสดหมุนเวียนน้อยลง และการถอนเงินสดยังลดลงประมาณ 75% ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีการปล้นธนาคารกำลังลดลงในประเทศอื่นๆ เช่นกัน อ้างอิงจากสถิติอาชญากรรมธนาคารของ FBI ระบุว่า ธนาคารในสหรัฐฯ ประสบปัญหาการปล้นในปี 2021 ทั้งหมด 1,724 ครั้ง ซึ่งลดลงจากปี 2004 ซึ่งมีสถิติสูงถึง 7,556 ครั้ง
อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดไปสู่ธนาคารดิจิทัล ทำให้เกิดเป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การแฮ็ก และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่รายละเอียดของธนาคารและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ซึ่ง บุสค์-เจปเซ่น ให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า การฉ้อโกงทางธนาคารออนไลน์กำลังเพิ่มขึ้นในเดนมาร์ก ‘ในสมัยก่อนโจรจะไปที่ธนาคาร แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไปหาลูกค้าแทน’
ขณะที่การใช้เงินสดจะเพิ่มขึ้นในหลายๆ ส่วนของโลก แต่ชาวนอร์ดิกกลับใช้จ่ายเงินสดลดลง และหันไปใช้วิธีการชำระเงินแบบดิจิทัล โดยชาวนอร์ดิกคิดว่ามันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับร้านค้า ให้ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และทำให้อาชญากรฟอกเงินได้ยากขึ้น ด้วยความไว้วางใจในสถาบันการเงินและความเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงทำให้กลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็นตัวเต็งในการสร้างสังคมไร้เงินสดแห่งแรกของโลก
ทำไมชาวนอร์ดิกถึงหันหน้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสด?
แนวคิดของ ‘สังคมไร้เงินสด’ เป็นที่ถกเถียงกันมานานหลายทศวรรษ และหลายคนคาดการณ์ว่าประเทศในกลุ่มนอร์ดิกจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ในปี 2018 นักวิจัยจาก Royal Institute of Technology และ Copenhagen Business School ในกรุงสตอกโฮล์มพยายามกำหนดวันโดยคำนวณเอาไว้ว่าในวันที่ 24 มี.ค. ปี 2023 พ่อค้าแม่ค้าชาวสวีเดนจะไม่สามารถรับเงินสดได้อีกต่อไป อีกทั้งยังประเมิณไว้อีกว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้ากว่าครึ่งนึงจะไม่ยอมรับเงินสดอีกต่อไปภายในปี 2025
การคาดการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งทั้งในสวีเดนและประเทศกลุ่มนอร์ดิก ในปี 2016 เงินสดมีสัดส่วนเพียง 1% ของมูลค่าการชำระเงินทั้งหมดในสวีเดน และใช้ในการทำธุรกรรมน้อยกว่า 20% ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้านี้
ในเดนมาร์กความต้องการเงินสดที่ลดลงทำให้ธนาคารแห่งชาติตัดสินใจหยุดพิมพ์เงินของตัวเองในปี 2015 โดยเลือกที่จะจ้างงานนี้ให้กับซัพพลายเออร์ฝรั่งเศสแทน
ด้านธนาคารแห่งประเทศฟินแลนด์ได้คำนวณว่าการใช้ธนบัตรในฟินแลนด์จะสิ้นสุดภายในปี 2029 เป็นอย่างช้าที่สุด ขณะที่ในนอร์เวย์ ประเด็นเรื่องการสร้างสังคมไร้เงินสดภายในปี 2030 ยังถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายทางการเมืองโดยพรรคอนุรักษนิยมอีกด้วย
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากชาวนอร์ดิกคือ พวกเขามีความไว้วางใจสูงในสถาบันต่างๆ เช่น ธนาคาร และเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ การชำระเงินด้วยบัตรเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจ อ้างอิงจากสถิติจาก Visa แสดงให้เห็นว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็น ‘ผู้นำระดับโลก’ ในด้านการชำระเงินผ่านบัตร
อีกตัวอย่างหนึ่งของการเปิดกว้างของชาวยุโรปต่อรูปแบบการชำระเงินใหม่คือ การเติบโตของแอปฯ ชำระเงินผ่านมือถือ เมื่อรวมกันแล้ว Swish, Vipps และ Mobile Pay มีผู้ใช้รวมกันมากกว่าา 13 ล้านคนทั่วสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก และฟินแลนด์ ตอนนี้แอปฯ ได้ให้บริการประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ ขณะที่แอปฯ เหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยธนาคารเพื่อเป็นทางเลือกแทนเงินสดสำหรับการชำระเงินแบบ peer-to-peer แต่ตอนนี้สามารถใช้ได้ทั้งการซื้อในร้านค้าและออนไลน์