องค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวเมื่อวันพุธ (19 เม.ย.) ที่ผ่านมาว่า อินเดียเตรียมแซงหน้าจีนกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยคาดว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นเกือบ 3 ล้านคนภายในกลางปีนี้
ตามการคาดการณ์รายงานสถานะประชากรโลกในปี 2023 ของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ระบุว่า ประชากรของอินเดียภายในกลางปีจะสูงถึง 1.4286 พันล้านคน เทียบกับของจีนที่ 1.4257 พันล้านคน หรือน้อยกว่า 2.9 ล้านคน
เจ้าหน้าที่สหประชาชาติกล่าวว่า ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนสำหรับการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลที่มาจากจีนและอินเดีย โดยการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดของอินเดียเกิดขึ้นในปี 2011 และครั้งล่าสุดซึ่งเดิมกำหนดไว้ในปี 2021 แต่ถูกเลื่อนออกไปในช่วงการระบาดของโควิด-19
ตามรายงานของ UNFPA ระบุอีกว่า ภายในปี 2050 จะมีอีก 8 ประเทศที่จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) อียิปต์ เอธิโอเปีย อินเดีย ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และแทนซาเนีย
“เมื่อจีนและอินเดียรวมกันแล้วจะมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกโดยประมาณ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนถึง 8,045 พันล้านคนภายในกลางปีนี้” รายงานของสหประชาชาติระบุ ทว่ากลับตรงกันข้ามกับการรับรู้ของสาธารณชน การเติบโตของประชากรทั้ง 2 ประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในจีน ซึ่งมีสถิติจำนวนประชากรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ทศวรรษเมื่อปีที่แล้ว
ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ประชากรจีนลดลงในปี 2022 เหลือ 1.411 พันล้านคน ซึ่งลดลงราว 850,000 คนจากปีที่แล้ว นอกจากนี้อัตราการเกิดก็ยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.77 ต่อประชากร 1,000 คน โดยลดลงจาก 7.52 ในปีก่อนหน้า และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งจีนคอมมิวนิสต์ในปี 1949
อย่างไรก็ดี การที่อินเดียแซงหน้าจีนนั้นจะส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อยักษ์ใหญ่ในเอเชียทั้งสอง ซึ่งนอกจากข้อมูลประชากรแล้ว จีนยังรายงานหนึ่งในตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แย่ที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษของปีที่แล้ว โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายที่ประเทศเผชิญ ขณะที่กำลังแรงงานหดตัวและวัยเกษียณที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้นำของปักกิ่งเองก็พยายามมองข้ามความสำคัญที่กำลังจะถูกอินเดียแซงหน้าด้วย
ตามข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ปี 2021 พบว่า ประชากรวัยทำงานของอินเดียมีมากกว่า 900 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลอินเดียคาดว่าตัวเลขนี้จะมากกว่า 1 พันล้านในทศวรรษหน้า
“แต่ตัวเลขเหล่านี้อาจกลายเป็นภาระได้หากผู้กำหนดนโยบายไม่สร้างงานเพียงพอ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าชาวอินเดียจำนวนมากขึ้นไม่ได้หางานทำ เนื่องจากขาดโอกาสและค่าจ้างต่ำ” ผู้เชี่ยวชาญเตือน
ตามข้อมูลธนาคารโลกปี 2021 ระบุว่า อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานของอินเดีย โดยเป็นการคาดคะเนจำนวนแรงงานที่กระตือรือร้นและผู้ที่กำลังหางานอยู่ที่ 46% ซึ่งต่ำที่สุดกลุ่มหนึ่งในเอเชีย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อัตราของจีนและสหรัฐฯ อยู่ที่ 68% และ 61% ตามลำดับในปีเดียวกัน
ขณะที่ นาตาเลีย คาเนม ผู้อำนวยการบริหารของ UNFPA กล่าวว่า “พาดหัวข่าวหลายฉบับเตือนถึงโลกที่กำลังเข้าสู่ภาวะประชากรล้นโลก หรือทั้งประเทศและภูมิภาคกำลังเข้าสู่ยุคล้าสมัย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนับจำนวนมนุษย์และจำนวนประชากรผ่านไปแล้ว สิทธิและศักยภาพของปัจเจกบุคคลก็จางหายไปอย่างง่ายดาย”
ตามการคาดการณ์รายงานสถานะประชากรโลกในปี 2023 ของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ระบุว่า ประชากรของอินเดียภายในกลางปีจะสูงถึง 1.4286 พันล้านคน เทียบกับของจีนที่ 1.4257 พันล้านคน หรือน้อยกว่า 2.9 ล้านคน
เจ้าหน้าที่สหประชาชาติกล่าวว่า ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนสำหรับการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลที่มาจากจีนและอินเดีย โดยการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดของอินเดียเกิดขึ้นในปี 2011 และครั้งล่าสุดซึ่งเดิมกำหนดไว้ในปี 2021 แต่ถูกเลื่อนออกไปในช่วงการระบาดของโควิด-19
ตามรายงานของ UNFPA ระบุอีกว่า ภายในปี 2050 จะมีอีก 8 ประเทศที่จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) อียิปต์ เอธิโอเปีย อินเดีย ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และแทนซาเนีย
“เมื่อจีนและอินเดียรวมกันแล้วจะมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกโดยประมาณ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนถึง 8,045 พันล้านคนภายในกลางปีนี้” รายงานของสหประชาชาติระบุ ทว่ากลับตรงกันข้ามกับการรับรู้ของสาธารณชน การเติบโตของประชากรทั้ง 2 ประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในจีน ซึ่งมีสถิติจำนวนประชากรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ทศวรรษเมื่อปีที่แล้ว
ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ประชากรจีนลดลงในปี 2022 เหลือ 1.411 พันล้านคน ซึ่งลดลงราว 850,000 คนจากปีที่แล้ว นอกจากนี้อัตราการเกิดก็ยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.77 ต่อประชากร 1,000 คน โดยลดลงจาก 7.52 ในปีก่อนหน้า และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งจีนคอมมิวนิสต์ในปี 1949
อย่างไรก็ดี การที่อินเดียแซงหน้าจีนนั้นจะส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อยักษ์ใหญ่ในเอเชียทั้งสอง ซึ่งนอกจากข้อมูลประชากรแล้ว จีนยังรายงานหนึ่งในตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แย่ที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษของปีที่แล้ว โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายที่ประเทศเผชิญ ขณะที่กำลังแรงงานหดตัวและวัยเกษียณที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้นำของปักกิ่งเองก็พยายามมองข้ามความสำคัญที่กำลังจะถูกอินเดียแซงหน้าด้วย
ตามข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ปี 2021 พบว่า ประชากรวัยทำงานของอินเดียมีมากกว่า 900 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลอินเดียคาดว่าตัวเลขนี้จะมากกว่า 1 พันล้านในทศวรรษหน้า
“แต่ตัวเลขเหล่านี้อาจกลายเป็นภาระได้หากผู้กำหนดนโยบายไม่สร้างงานเพียงพอ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าชาวอินเดียจำนวนมากขึ้นไม่ได้หางานทำ เนื่องจากขาดโอกาสและค่าจ้างต่ำ” ผู้เชี่ยวชาญเตือน
ตามข้อมูลธนาคารโลกปี 2021 ระบุว่า อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานของอินเดีย โดยเป็นการคาดคะเนจำนวนแรงงานที่กระตือรือร้นและผู้ที่กำลังหางานอยู่ที่ 46% ซึ่งต่ำที่สุดกลุ่มหนึ่งในเอเชีย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อัตราของจีนและสหรัฐฯ อยู่ที่ 68% และ 61% ตามลำดับในปีเดียวกัน
ขณะที่ นาตาเลีย คาเนม ผู้อำนวยการบริหารของ UNFPA กล่าวว่า “พาดหัวข่าวหลายฉบับเตือนถึงโลกที่กำลังเข้าสู่ภาวะประชากรล้นโลก หรือทั้งประเทศและภูมิภาคกำลังเข้าสู่ยุคล้าสมัย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนับจำนวนมนุษย์และจำนวนประชากรผ่านไปแล้ว สิทธิและศักยภาพของปัจเจกบุคคลก็จางหายไปอย่างง่ายดาย”
