จากกระแสข่าวที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีรายงานการพบปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้บนท้องฟ้ากว่า 350 ครั้งมีการคาดเดากันว่าอาจเป็นยูเอฟโอ บวกกับที่ผ่านมามักมีรายงานเกี่ยวกับวัตถุประหลาดๆ พาดผ่านฟากฟ้าเป็นจำนวนมาก แต่เคยสงสัยไหมว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นอยู่ส่วนไหนของจักรวาล
ย้อนกลับไปในสมัยนักปรัชญายุคกรีกโบราณที่มีการคาดการณ์ว่าอาจมีมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่สมัยนั้น จนกระทั่งช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อจินตนาการของผู้คนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นที่จู่ๆ ก็มีการปรากฏตัวของ ‘ชายชุดเขียวตัวน้อย’ อยู่ทั่วไปในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ความจริงก็คือ หากมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ในระบบสุริยะของเราจริงๆ เราก็อาจจะพบความหลากหลายที่อาจซ่อนอยู่ในเมฆของดาวศุกร์ ใต้พื้นผิวดาวอังคาร หรือแม้แต่ในมหาสมุทรใต้ดินอันกว้างใหญ่ของดวงจันทร์น้ำแข็งดวงหนึ่งบนดาวเสาร์
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการคาดเดาว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้จะสามารถอยู่ที่ไหนและส่วนไหนในจักรวาลของเราได้บ้าง
ย้อนกลับไปในสมัยนักปรัชญายุคกรีกโบราณที่มีการคาดการณ์ว่าอาจมีมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่สมัยนั้น จนกระทั่งช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อจินตนาการของผู้คนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นที่จู่ๆ ก็มีการปรากฏตัวของ ‘ชายชุดเขียวตัวน้อย’ อยู่ทั่วไปในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ความจริงก็คือ หากมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ในระบบสุริยะของเราจริงๆ เราก็อาจจะพบความหลากหลายที่อาจซ่อนอยู่ในเมฆของดาวศุกร์ ใต้พื้นผิวดาวอังคาร หรือแม้แต่ในมหาสมุทรใต้ดินอันกว้างใหญ่ของดวงจันทร์น้ำแข็งดวงหนึ่งบนดาวเสาร์
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการคาดเดาว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้จะสามารถอยู่ที่ไหนและส่วนไหนในจักรวาลของเราได้บ้าง
ดาวอังคาร

นักวิทยาศาสตร์ต่างก็รู้ดีว่าครั้งหนึ่งดาวเคราะห์แดงแห่งนี้เคยอยู่อาศัยได้ เพราะเมื่อหลายพันล้านปีก่อนบนดาวอังคารมีทั้งทะเลสาบและแม่น้ำ รวมทั้งมีชั้นบรรยากาศที่หนากว่าชั้นที่เบาบางมากในปัจจุบัน
มีการพยายามหาคำตอบมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แม้ว่าคำตอบจะยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ก็ตาม ขณะเดียวกัน NASA ก็ส่งยานไปสำรวจพื้นผิวของดาวอังคารอยู่ตลอดในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นยาน ‘Opportunity’ และ ‘Curiosity’
และล่าสุดกับยาน ‘Perseverance’ พร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์ ‘Ingenuity’ ซึ่งลงจอดบนดาวเคราะห์สีแดงในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และสามารถเก็บตัวอย่างหินและเรโกลิธ (หินและดินที่แตกแล้ว) ได้ 18 ตัวอย่างจากปล่องภูเขาไฟเจซีโรซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่านเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
โดยหลอดตัวอย่างเหล่านี้จะถูกเก็บและส่งกลับมายังโลกโดยยานอวกาศของยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 2030 ซึ่งช่วยนักวิทยาศาสตร์ระบุได้ว่าเคยมีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่ในภูมิภาคนี้หรือไม่ หากว่ามีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณอยู่จริง ก็เป็นไปได้ว่ายังมีจุลินทรีย์ของมนุษย์ต่างดาวอยู่บนดาวอังคารในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โคตส์ จากภาควิชาฟิสิกส์อวกาศและภูมิอากาศแห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจ กล่าวว่า “ดาวอังคารเป็น 3 อันดับแรกที่มีโอกาสเป็นที่อยู่อาศัยมากที่สุดในระบบสุริยะของเรา”
“ดาวอังคารมีสภาพที่เหมาะสมซึ่งพิสูจน์ได้จากหลักฐานเมื่อ 3.8-4 พันล้านปีก่อนที่ประกอบด้วยน้ำบนพื้นผิว และสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เรียกว่า ‘CHNOPS’ ประกอบด้วย 6 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งประกอบขึ้นเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกและพลังงาน ในขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นบนโลกแล้ว”
มีการพยายามหาคำตอบมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แม้ว่าคำตอบจะยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ก็ตาม ขณะเดียวกัน NASA ก็ส่งยานไปสำรวจพื้นผิวของดาวอังคารอยู่ตลอดในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นยาน ‘Opportunity’ และ ‘Curiosity’
และล่าสุดกับยาน ‘Perseverance’ พร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์ ‘Ingenuity’ ซึ่งลงจอดบนดาวเคราะห์สีแดงในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และสามารถเก็บตัวอย่างหินและเรโกลิธ (หินและดินที่แตกแล้ว) ได้ 18 ตัวอย่างจากปล่องภูเขาไฟเจซีโรซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่านเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
โดยหลอดตัวอย่างเหล่านี้จะถูกเก็บและส่งกลับมายังโลกโดยยานอวกาศของยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 2030 ซึ่งช่วยนักวิทยาศาสตร์ระบุได้ว่าเคยมีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่ในภูมิภาคนี้หรือไม่ หากว่ามีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณอยู่จริง ก็เป็นไปได้ว่ายังมีจุลินทรีย์ของมนุษย์ต่างดาวอยู่บนดาวอังคารในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โคตส์ จากภาควิชาฟิสิกส์อวกาศและภูมิอากาศแห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจ กล่าวว่า “ดาวอังคารเป็น 3 อันดับแรกที่มีโอกาสเป็นที่อยู่อาศัยมากที่สุดในระบบสุริยะของเรา”
“ดาวอังคารมีสภาพที่เหมาะสมซึ่งพิสูจน์ได้จากหลักฐานเมื่อ 3.8-4 พันล้านปีก่อนที่ประกอบด้วยน้ำบนพื้นผิว และสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เรียกว่า ‘CHNOPS’ ประกอบด้วย 6 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งประกอบขึ้นเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกและพลังงาน ในขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นบนโลกแล้ว”
ดาวศุกร์

เพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของโลกและเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 2 จากดวงอาทิตย์ที่ชั้นบรรยากาศหนาทึบเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แม้จะมีสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ แต่ก็มีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมายเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วอาจมีสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งอาศัยอยู่ก็ได้
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ ‘ไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเห็น’ อาจอาศัยอยู่ในก้อนเมฆของ ‘แฝดปีศาจ’ ของโลก
นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าดาวเคราะห์อาจน่าอยู่มากขึ้น หลังจากระบุวิถีทางเคมีที่สิ่งมีชีวิตสามารถทำให้สภาพแวดล้อมที่เป็นกรดของดาวศุกร์เป็นกลาง จนทำให้เกิดกลุ่มก้อนเมฆที่สามารถอยู่อาศัยได้และดำรงอยู่ได้เอง
“ไม่มีชีวิตใดที่เรารู้จักสามารถอยู่รอดได้ในละอองดาวศุกร์ แต่ประเด็นคือ อาจมีบางชีวิตอยู่ที่นั่น และกำลังปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อให้มันอยู่ได้” ซารา ซีเกอร์ ผู้ร่วมวิจัยจากสถาบัน MIT กล่าว
อย่างไรก็ตาม การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว อ้างว่าไม่พบหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในเมฆของดาวเคราะห์ และไม่พบสัญญาณของสิ่งนี้ในแบบจำลองบรรยากาศ ด้วยเช่นกัน
แม้จะมีสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ แต่ก็มีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมายเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วอาจมีสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งอาศัยอยู่ก็ได้
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ ‘ไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเห็น’ อาจอาศัยอยู่ในก้อนเมฆของ ‘แฝดปีศาจ’ ของโลก
นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าดาวเคราะห์อาจน่าอยู่มากขึ้น หลังจากระบุวิถีทางเคมีที่สิ่งมีชีวิตสามารถทำให้สภาพแวดล้อมที่เป็นกรดของดาวศุกร์เป็นกลาง จนทำให้เกิดกลุ่มก้อนเมฆที่สามารถอยู่อาศัยได้และดำรงอยู่ได้เอง
“ไม่มีชีวิตใดที่เรารู้จักสามารถอยู่รอดได้ในละอองดาวศุกร์ แต่ประเด็นคือ อาจมีบางชีวิตอยู่ที่นั่น และกำลังปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อให้มันอยู่ได้” ซารา ซีเกอร์ ผู้ร่วมวิจัยจากสถาบัน MIT กล่าว
อย่างไรก็ตาม การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว อ้างว่าไม่พบหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในเมฆของดาวเคราะห์ และไม่พบสัญญาณของสิ่งนี้ในแบบจำลองบรรยากาศ ด้วยเช่นกัน
ดาวบริวารเอนเซลาดัส

คุณคงไม่คิดว่าวัตถุที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งทั้งหมดจะเอื้อต่อการดำรงชีวิตใช่ไหม? แม้ว่าพื้นผิวของดาวบริวาร เอนเซลาดัสจะเย็นยะเยือกแข็ง แต่ก็มีกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นใต้ผิวดาวนั้นด้วย
นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้ก็เพราะดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ลำดับที่ 6 ของดาวเสาร์ได้ขับน้ำ น้ำแข็ง และสารอินทรีย์ที่เป็นของเหลวออกจากแกนกลางออกไปในอวกาศ โดยโมเลกุลของสารอินทรีย์ได้รับการระบุว่าเป็นสารประกอบที่มีไนโตรเจนและออกซิเจน ซึ่งคล้ายกับปฏิกิริยาเคมีบนโลกที่ผลิตกรดอะมิโนอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต
“เรายังไม่ทราบว่ากรดอะมิโนจำเป็นต่อชีวิตนอกโลกหรือไม่ แต่การค้นหาโมเลกุลที่สร้างกรดอะมิโนเป็นชิ้นส่วนสำคัญของปริศนา” โนแซร์ คาวาจา ของมหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน กล่าว
ศาสตราจารย์ เดวิด รอธิรี แห่งมหาวิทยาลัย Open University กล่าวว่า เขาเชื่อว่า ดาวบริวารเอนเซลาดัส เป็นหนึ่งในดาวบริวารในระบบสุริยะของเราที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาศัยอยู่
นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้ก็เพราะดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ลำดับที่ 6 ของดาวเสาร์ได้ขับน้ำ น้ำแข็ง และสารอินทรีย์ที่เป็นของเหลวออกจากแกนกลางออกไปในอวกาศ โดยโมเลกุลของสารอินทรีย์ได้รับการระบุว่าเป็นสารประกอบที่มีไนโตรเจนและออกซิเจน ซึ่งคล้ายกับปฏิกิริยาเคมีบนโลกที่ผลิตกรดอะมิโนอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต
“เรายังไม่ทราบว่ากรดอะมิโนจำเป็นต่อชีวิตนอกโลกหรือไม่ แต่การค้นหาโมเลกุลที่สร้างกรดอะมิโนเป็นชิ้นส่วนสำคัญของปริศนา” โนแซร์ คาวาจา ของมหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน กล่าว
ศาสตราจารย์ เดวิด รอธิรี แห่งมหาวิทยาลัย Open University กล่าวว่า เขาเชื่อว่า ดาวบริวารเอนเซลาดัส เป็นหนึ่งในดาวบริวารในระบบสุริยะของเราที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาศัยอยู่
ดาวบริวารยูโรปา

ยูโรปาเป็นดวงจันทร์กาลิเลียนที่เล็กที่สุดในจำนวน 4 ดวงของดาวพฤหัสบดี แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่าดวงจันทร์ดวงนี้น่าจะมีส่วนประกอบของดาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิต
เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากใต้ผิวดินขนาดใหญ่และมหาสมุทรที่มีความเค็มซึ่งอาจถูกทำให้ร้อนขึ้นจากแรงน้ำขึ้นน้ำลง โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าสิ่งนี้จะสร้างระบบการไหลเวียนภายในซึ่งช่วยให้น้ำเคลื่อนไหวและเติมพื้นผิวน้ำแข็งเป็นประจำ
ทฤษฎีดังกล่าวมีความสำคัญเพราะมันหมายความว่านักวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกลงไปในมหาสมุทรใต้ดินเพื่อค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิต
“ในบรรดาดาวเทียมกาลิเลียน ยูโรปามีแนวโน้มที่จะมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากที่สุด เนื่องจากมหาสมุทรมีแนวโน้มที่จะสัมผัสกับทราย/หินตามแบบจำลอง ในขณะที่ที่แกนีมีดและคาลิสโตนั้น พบว่า พื้นมหาสมุทรจะเป็นน้ำแข็ง เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลง” ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โคตส์ กล่าว
“เนื่องจากยูโรปาถูกอาบด้วยแถบรังสีพลังของดาวพฤหัสบดี จึงมีประโยชน์สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่เช่นกัน เพราะอาจส่งผลให้ออกซิเจนหาทางเข้าสู่มหาสมุทรใต้ผิวดินได้” โคตส์ กล่าวเสริม
เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากใต้ผิวดินขนาดใหญ่และมหาสมุทรที่มีความเค็มซึ่งอาจถูกทำให้ร้อนขึ้นจากแรงน้ำขึ้นน้ำลง โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าสิ่งนี้จะสร้างระบบการไหลเวียนภายในซึ่งช่วยให้น้ำเคลื่อนไหวและเติมพื้นผิวน้ำแข็งเป็นประจำ
ทฤษฎีดังกล่าวมีความสำคัญเพราะมันหมายความว่านักวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกลงไปในมหาสมุทรใต้ดินเพื่อค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิต
“ในบรรดาดาวเทียมกาลิเลียน ยูโรปามีแนวโน้มที่จะมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากที่สุด เนื่องจากมหาสมุทรมีแนวโน้มที่จะสัมผัสกับทราย/หินตามแบบจำลอง ในขณะที่ที่แกนีมีดและคาลิสโตนั้น พบว่า พื้นมหาสมุทรจะเป็นน้ำแข็ง เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลง” ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โคตส์ กล่าว
“เนื่องจากยูโรปาถูกอาบด้วยแถบรังสีพลังของดาวพฤหัสบดี จึงมีประโยชน์สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่เช่นกัน เพราะอาจส่งผลให้ออกซิเจนหาทางเข้าสู่มหาสมุทรใต้ผิวดินได้” โคตส์ กล่าวเสริม
ดาวบริวารไทรทัน

ไทรทันเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูนและเป็นหนึ่งในดาวเทียมธรรมชาติเพียง 5 ดวงในระบบสุริยะของเราที่ได้รับการยืนยันว่ามีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยา
นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้เพราะมีน้ำพุร้อนกีย์เซอร์ซึ่งพ่นก๊าซไนโตรเจนและมันระเหิดออกมา โดยพื้นผิวของมันเป็นไนโตรเจนเยือกแข็งซะส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วงที่เรียกว่า ความร้อนจากน้ำขึ้นน้ำลง นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าดาวได้รับความร้อนบางส่วนจากดาวเนปจูนที่สามารถช่วยให้น้ำอุ่นและสร้างเงื่อนไขที่เป็นไปได้สำหรับสิ่งมีชีวิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าดวงจันทร์บริวารดวงนี้เย็นจัดจนทำให้ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่อาศัยอยู่นานพอที่จะดำรงอยู่ได้
นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องนี้เพราะมีน้ำพุร้อนกีย์เซอร์ซึ่งพ่นก๊าซไนโตรเจนและมันระเหิดออกมา โดยพื้นผิวของมันเป็นไนโตรเจนเยือกแข็งซะส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วงที่เรียกว่า ความร้อนจากน้ำขึ้นน้ำลง นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าดาวได้รับความร้อนบางส่วนจากดาวเนปจูนที่สามารถช่วยให้น้ำอุ่นและสร้างเงื่อนไขที่เป็นไปได้สำหรับสิ่งมีชีวิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าดวงจันทร์บริวารดวงนี้เย็นจัดจนทำให้ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่อาศัยอยู่นานพอที่จะดำรงอยู่ได้
ดาวบริวารแกนีมีด

ดาวดวงนี้ไม่เพียงแต่เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสบดีแกนีมีดเท่านั้น แต่ยังเป็นดาวเทียมธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะทั้งหมดของเราอีกด้วย
เป็นอีกครั้งที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าบนดาวดวงนี้มีน้ำมากกว่ามหาสมุทรทั้งหมดในโลกรวมกัน ซึ่งคิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
แต่ปัญหาก็คือแกนีมีดเย็นกว่าโลกมาก โดยมีอุณหภูมิพื้นผิวในเวลากลางวันอยู่ระหว่าง 90 ถึง 160 เคลวิน (หรือ -297 ถึง -171 องศาฟาเรนไฮต์) ไม่เพียงแค่นั้น ดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์บริวารยังได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่า 1 ใน 30 ของปริมาณแสงอาทิตย์ที่โลกได้รับ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
เป็นอีกครั้งที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าบนดาวดวงนี้มีน้ำมากกว่ามหาสมุทรทั้งหมดในโลกรวมกัน ซึ่งคิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
แต่ปัญหาก็คือแกนีมีดเย็นกว่าโลกมาก โดยมีอุณหภูมิพื้นผิวในเวลากลางวันอยู่ระหว่าง 90 ถึง 160 เคลวิน (หรือ -297 ถึง -171 องศาฟาเรนไฮต์) ไม่เพียงแค่นั้น ดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์บริวารยังได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่า 1 ใน 30 ของปริมาณแสงอาทิตย์ที่โลกได้รับ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
ดาวบริวารคัลลิสโต

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับดวงจันทร์คัลลิสโตก็คือว่า มันมีพื้นผิวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในระบบสุริยะของเรา โดยมีอายุประมาณ 4 พันล้านปี ซึ่งไม่มีผลต่อศักยภาพในการดำรงชีวิตอย่างแท้จริง
ชั้นบรรยากาศของมันนั้นเบาบาง และเหมือนโลกมากกว่าดวงจันทร์ดวงอื่นส่วนใหญ่ในระบบสุริยะซะอีก เนื่องจากมีออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์
ในอดีต นักวิทยาศาสตร์มักคิดว่าคัลลิสโตเป็น ‘ดวงจันทร์ลูกเป็ดขี้เหร่’ และเป็น ‘ก้อนน้ำแข็งและหินก้อนใหญ่’ เพราะมันเป็นดาวที่มีปล่องภูเขาไฟปกคลุม ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักในทางธรณีวิทยา
ดังนั้น โอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ นั้นถือว่าน้อยกว่าดาวเคราะห์และดวงจันทร์อื่นๆ บางดวงด้วย
ชั้นบรรยากาศของมันนั้นเบาบาง และเหมือนโลกมากกว่าดวงจันทร์ดวงอื่นส่วนใหญ่ในระบบสุริยะซะอีก เนื่องจากมีออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์
ในอดีต นักวิทยาศาสตร์มักคิดว่าคัลลิสโตเป็น ‘ดวงจันทร์ลูกเป็ดขี้เหร่’ และเป็น ‘ก้อนน้ำแข็งและหินก้อนใหญ่’ เพราะมันเป็นดาวที่มีปล่องภูเขาไฟปกคลุม ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักในทางธรณีวิทยา
ดังนั้น โอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ นั้นถือว่าน้อยกว่าดาวเคราะห์และดวงจันทร์อื่นๆ บางดวงด้วย
ดาวเคราะห์แคระเซเรส

เซเรสนั้นตั้งอยู่ระหว่างดาวอังคารและจูปิเตอร์ ซึ่งมีทั้งน้ำใต้ดินที่อยู่ใต้พื้นผิวประมาณ 25 ไมล์ ในกรณีนี้น้ำเหล่านั้นก็เข้าขั้นเกือบจะเค็มมากด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ NASA ยังพบหลักฐานของสารประกอบอินทรีย์ในเซเรสในขณะที่โคจรรอบโลกระหว่างปี 2015-2018 แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้เจอหลักฐานที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่า ดาวเคราะห์แคระดวงนี้เอื้อต่อการดำรงชีวิตอยู่ได้
นอกจากนี้ NASA ยังพบหลักฐานของสารประกอบอินทรีย์ในเซเรสในขณะที่โคจรรอบโลกระหว่างปี 2015-2018 แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้เจอหลักฐานที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่า ดาวเคราะห์แคระดวงนี้เอื้อต่อการดำรงชีวิตอยู่ได้