นายกฯ อินเดียคือผู้นำขวัญใจประชาชนเบอร์ 1 ของโลก?

7 ก.ค. 2566 - 10:08

  • ‘นเรนทระ โมที’ กับ 9 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ชายผู้นี้สร้างปรากฏการณ์อะไรให้อินเดียบ้าง?

Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Thumbnail
ประเทศใดประเทศหนึ่งจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้ ส่วนหนึ่งเพราะต้องมีผู้นำประเทศที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ดำเนินนโยบายที่บังเกิดผล และมีสวัสดิการที่เข้าถึงประชาชน แต่จะมีสักกี่ประเทศกันที่ประสบความสำเร็จแบบนั้นได้ บนโลกใบนี้เรายังสรรหาผู้นำและรัฐบาลที่ไม่คอร์รัปชันได้จริงๆ หรอ? 
 
แต่เชื่อไหมว่ามี ‘ผู้นำ’ ประเทศหนึ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเลยก็ว่าได้ว่าดินแดนแห่งนี้เนี่ยนะทำไมถึงมีผู้นำประเทศที่ติดอันดับ 1 ของโลกปี 2023 ซึ่งคนนั้นก็คือ ‘นเรนทระ โมที’ นายกรัฐมนตรีของอินเดียนั่นเอง  
 
หลายคนในที่นี้อาจจะไม่เชื่อทั้งที่ระบบสาธารณสุข หรือคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองที่ดูจะแย่กว่าไทยด้วยซ้ำ แต่ทำไมนายกฯ คนนี้ถึงติดโผเป็นนัมเบอร์วันได้ แล้วอินเดียพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นจริงหรือ? 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5iP9iLNlyYTkUTaEtpsoYG/c393ccf709e649c1682bf33d9ff1912f/info__Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-01

อินเดียภายใต้การนำของ ‘นเรนทระ โมที’ ตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษ 

‘นเรนทระ โมที’ เริ่มเข้าสู่การเมืองในนามพรรคภารตียชนตา (BJP) เมื่อปี 1987 ขณะนั้นอายุได้ 37 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นพรรคสนับสนุนลัทธิชาตินิยมฮินดู (ชาวฮินดูเป็นใหญ่และศักดิ์สิทธิ์) ทั่วอินเดีย จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมุขยมนตรีรัฐคุชราตอย่างรวดเร็วในปี 2001 ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต โดยเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนานกว่า 3 สมัยเป็นเวลา 13 ปี 
 
แม้ในบางช่วงเวลาจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายอันเนื่องมาจากนโยบายสนับสนุนลัทธิชาตินิยมฮินดูของพรรคเอง อย่างในปี 2002 ที่เกิดเหตุจลาจลจนทำให้ประชาชนมากกว่า 2,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเสียชีวิต ทั้งยังมีการประณามจากนานาชาติ การคว่ำบาตรทางการทูต แต่ด้วยนโยบายเศรษฐกิจของโมทีนั่นเองที่ทำให้เขายังได้รับความนิยมในรัฐคุชราตเรื่อยมา 
 
ก้าวสำคัญของชายนามว่า ‘นเรนทระ โมที’
 
ต่อมาไม่นานเขาก็กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหลังชนะการเลือกตั้งปี 2014 ด้วยวัย 64 ปี เมื่อชัยชนะอันก้องกังวานของเขาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ซึ่งยุติการครอบงำของสภาคองเกรสและตระกูลเนห์รู-คานธีที่ปกครองอินเดียมาตลอดเกือบ 67 ปีที่ผ่านมา 
 
และตลอดเกือบทศวรรษที่ยาวนานนี้เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าในระยะหนึ่งจะมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการจัดการปัญหากับชนกลุ่มน้อยและชาวมุสลิมอย่างไร้มนุษยธรรม อีกทั้งยังปลีกตัวจากสื่อไปหลายปีด้วยเหตุเพราะไม่ต้องการให้ปัญหาภายในประเทศรั่วไหลออกไป 
 
แต่ทว่าในมุมมองด้านอื่นๆ อย่างการปรับปรุงคุณภาพชีวิตจากชนชั้นที่ยากจนที่สุด การพัฒนาสังคมกลับเป็นไปในทิศทางที่ดีเชียวล่ะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจของโมทีหรือที่เรียกว่า ‘Modinomics’ ซึ่งได้รับการยกย่องจากบางคนว่ามีความเป็นมืออาชีพและเป็นมิตรกับนักลงทุนด้วย 
 
ภายใต้การนำของโมทีนั้น เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้พลิกเศรษฐกิจอินเดียให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกโดยมีอัตราการเติบโตมากกว่า 7% ต่อปี และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้แล้วโมทียังกระชับความสัมพันธ์กับปากีสถาน รวมถึงประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันก็พบว่าความยากจนและอาชญากรรมก็ลดลงอย่างมาก 
 
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีบางนโยบายที่ขัดแย้งกับประชาชนบางส่วนไปบ้างซึ่งบางคนมองว่าโมทีเผด็จการเกินไป ทว่าเขาก็ยังได้รับความนิยมสูงอยู่ดี ขณะที่ผู้สนับสนุนก็เชื่อว่า ‘โมทีไม่กังวลแม้ว่านโยบายบางส่วนจะสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน เขาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นที่จะทำให้อินเดียเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลก’ 
 
“เราครอบคลุมพื้นที่มากมายในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา และเราต้องการทำมากกว่านี้ในอนาคต เพื่อที่เราจะได้สร้างอินเดียที่แข็งแกร่งและมั่งคั่ง” โมทีกล่าว 
 
ในฐานะนายกฯ ของอินเดีย โมทีมุ่งมั่นที่จะทำให้อินเดียเป็นมหาอำนาจระดับโลก และดูเหมือนว่าตลอดเส้นทางของเขาดูจะไปได้ดีในการบรรลุเป้าหมายนี้เสียด้วย 
 
แล้ว ‘อินเดีย’ เปลี่ยนไปอย่างไรในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา? และนี่คือช่วงเวลา ‘9 ปี กับความสำเร็จที่โดดเด่น 5 ประการ’…

1.ส่งเสริมนโยบาย ‘ขจัดความยากจน’

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4bVGtVKUP8ayfHHgxXtZiP/9ec18d17c922b75b0755c4ce3253888e/Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Photo01
ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนโยบายที่โมทีให้ความสำคัญและผลักดันอย่างเต็มที่ก็คือ ‘การบรรเทาทุกข์’ และ ‘การขจัดความยากจน’ เพื่อศักดิ์ศรีของคนชายขอบ ซึ่งก็คือการทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและมีคุณค่า โดยกำหนดนิยามใหม่ของแนวคิดดังกล่าวคือการ ‘รับใช้คนจน’ (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโมทีเคยจนและลำบากมาก่อน) 
 
ครั้งหนึ่งในการปราศรัยปี 2014 โมทีเคยกล่าวไว้ว่า “รัฐบาลควรเป็นรัฐบาลที่คิดถึงคนจน ฟังเสียงคนจน ใช้ชีวิตเพื่อคนจน”  
 
ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลโมทีดำเนินการตามคำปราศรัยโดยสามารถช่วยคนนับล้านจากโรคระบาดร้ายแรงด้วยโครงการ ‘Pradhan Mantri Ujjwala Yojana’ (PMUY) ที่ริเริ่มเมื่อปี 2016 สำหรับปันส่วนทั้งน้ำมัน น้ำฟรี และเชื้อเพลิงสะอาดอาหารให้กับครัวเรือนในชนบทและในพื้นที่ขาดแคลน ซึ่งผลที่ตามจะช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดการตัดไม้ทำลายป่า และลดปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนด้วย 
 
ท่ามกลางการปิดเมืองที่เคร่งครัด รวมถึงรายได้ที่ลดน้อยลง ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทุกไตรมาส แต่รัฐบาลก็มีมติให้เงินอุดหนุนค่าน้ำมัน 200 รูเปีย (ราว 85 บาท) แก่ผู้รับประโยชน์ 90 ล้านคนจากโครงการ PMUY 
 
และอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในรัฐบาลโมทีก็คือ โครงการสวัสดิการสังคม ‘Pradhan Mantri Garib Kalyan Ann Yojana’ (PM-GKAY) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2020 เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงการแจกจ่ายเมล็ดพืชอาหารให้กับครัวเรือนที่ยากจนและคนชายขอบ ตลอดจนการโอนเงินให้กับผู้หญิงและผู้สูงอายุด้วย  
 
นอกจากนี้แล้วรัฐบาลโมทียังได้จัดหาบ้านคอนกรีต ‘ปุคคา’ (pucca) ให้คนจนจำนวน 30 ล้านคน “ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคนจนคือการมีบ้านเป็นของตนเอง…เช่นเดียวกับความยุติธรรมทางสังคมที่จำเป็นสำหรับสวัสดิการของสังคม การพัฒนาที่สมดุลในทำนองเดียวกันก็มีความสำคัญต่อสวัสดิการเช่นกัน” โมทีกล่าว 
 
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังชื่นชมนโยบาย PM-GKAY ของโมทีและกล่าวว่าสิ่งนี้ช่วยหลีกเลี่ยงความยากจนขั้นรุนแรงในช่วงที่เกิดโรคระบาดอีกด้วย 
 
“ความยากจนของประเทศลดลงจาก 22% และเหลือไม่ถึง 10% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แต่อัตราความยากจนขั้นรุนแรงยังคงทรงตัวอยู่ที่น้อยกว่า 1% คือ 0.8%” จากัต ประกาช นัดดา หัวหน้าพรรค BJP กล่าว 

2.สร้าง ‘คุณภาพชีวิต’ ของชาวอินเดียให้ดีขึ้นกว่าเดิม

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1HOdvinidI946Kf8PLkFmM/f4be260262f03cf98eecc6b1b08c478c/Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Photo02
เป็นที่เลื่องลือกันอยู่แล้วในเรื่อง ‘สุขอนามัยแย่’ และความ ‘ไม่สะอาด’ ของอินเดีย เนื่องจากอินเดียมีอัตราการถ่ายอุจจาระในที่โล่งแจ้งสูงที่สุดในโลกซึ่งเป็นปัญหาที่มาพร้อมกับผลกระทบด้านสาธารณสุขที่รุนแรง แต่รัฐบาลโมทีเห็นความสำคัญของปัญหานี้ดี เขาจึงแก้ด้วยนโยบาย ‘Swachh Bharat Mission’ คือ การทำให้อินเดียสะอาดขึ้นนั่นเอง 
 
และเริ่มต้นด้วยการสร้างห้องสุขาในครัวเรือนเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งให้เงินอุดหนุนคนจนเพื่อนำไปสร้างส้วมที่บ้าน ซึ่งจากการสำรวจกว่า 3,000 ครัวเรือนใน 4 รัฐทางตอนเหนือพบว่า ในปี 2014-2018 มีการถ่ายอุจจาระแบบเปิดลดลง 26% นับตั้งแต่เปิดตัวนโยบาย ‘Swachh Bharat’ และมีการเข้าถึงห้องสุขาในครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2014 เป็น 71% ในปี 2018 ด้วย 
 
ทว่าการเข้าถึงห้องสุขานั้นไม่ได้หมายความว่าการถ่ายอุจจาระแบบเปิดจะสิ้นสุดลงตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง เพราะผลการสำรวจพบว่า 23% ของผู้ที่มีห้องน้ำก็ยังคงถ่ายอุจจาระในที่โล่ง รวมถึงผู้คนในรัฐราชสถานและรัฐมัธยประเทศซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นรัฐที่ปลอดการถ่ายอุจจาระในที่โล่ง แต่ก็ถือว่าลดลงมากกว่าเมื่อก่อน 
 
นอกจากนี้ หมู่บ้านอีกกว่า 2.5 แสนแห่งก็ยังมีสถานที่จัดการขยะเหลว และเกือบ 2 แสนแห่งมีการจัดการขยะมูลฝอย พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการทำความสะอาดทั่วอินเดีย ตลอดจนการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชนดื่ม 
 
ส่วนความสำเร็จที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การปฏิวัติพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศครั้งใหญ่ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การก่อสร้างทางหลวง ทางด่วน การขยายเครือข่ายรถไฟขนาดใหญ่ และโครงการสนามบิน ซึ่งรวมแล้วมูลค่าหลายพันล้านรูปี 
 
ก่อนปี 2014 อิเดียมีเส้นทางรถไฟเพียง 600 กิโลเมตรต่อปี แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 4,000 กิโลเมตรต่อปี ส่วนสนามบินก็เช่นกัน ก่อนปี 2014 มีสนามบินเพียง 74 แห่ง แต่หลังจากที่รัฐบาลโมทีเข้ามาบริหารก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเป็น 150 แห่ง 
 
ขณะเดียวกันทางรัฐบาลก็ทำการเชื่อมต่อสายอินเทอร์เน็ตราว 6 แสนกิโลเมตรไปยังหมู่บ้านชนบทกว่า 2 แสนแห่ง เพื่อให้พลเมืองเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง 

3.ประชาชนประทับใจรับมือกับวิกฤต ‘โควิด-19’ ได้เป็นอย่างดี

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5A55ZPkoxST1zoZ0vxJT0u/19a63c9f04b4b22115bae84e85858a1a/Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Photo03
ขณะที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาการรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 อยู่นานหลายเดือนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางได้ และมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถจัดการได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้น แต่อินเดียที่หลายคนก็มองว่ามีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากกลับได้รับคำชื่นชมจากประชาชนในประเทศว่ารัฐบาลของโมทีบริหารจัดการกับวิกฤตนี้ได้ดีทีเดียว 
 
จากการสำรวจของ India Today Mood of the Nation (MOTN) พบว่า เกือบ 3 ใน 4 ของชาวอินเดียเชื่อว่าโมทีจัดการกับโรคระบาดได้ดีและรวดเร็ว โดย 23% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ‘โมทีจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม’ ขณะที่ 50% บอกว่า ‘ดี’ อีก 18% บอกว่า ‘ธรรมดา’ แต่ 7% บอกว่า ‘แย่’ และมีเพียง 2% เท่านั้นที่ตอบว่า ‘แย่มาก’ 
 
และนั่นทำให้โมทียิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกในปี 2021 โดยพบว่าชาวอินเดีย 74% พอใจกับการทำงานของเขาซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 54% เมื่อปี 2019 รวมถึงชาวอินเดียในต่างประเทศก็ชื่นชมเขาด้วยเหมือนกัน 
 
ยิ่งไปกว่านั้น การขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลโมทียังถือเป็นการขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย เนื่องจากอินเดียได้ผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา 2 ตัว ได้แก่ 
  • โควาซิน (Covaxin) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทวัคซีนภารัต ไบโอเทค (Bharat Biotech) โดยร่วมมือกับสภาการวิจัยทางการแพทย์แห่งอินเดีย (ICMR) และสถาบันไวรัสวิทยาแห่งชาติ 
  • โควิชีลด์ (Covishield) ที่พัฒนาโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute) ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทเภสัชรายใหญ่ ‘AstraZeneca’ 
นอกจากรัฐบาลอินเดียจะดำเนินโครงการฉีดวัคซีนโควิดฟรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งเป้าจะฉีดให้ครบ 1.1 พันล้านคนภายในปี 2021 แล้ว รัฐบาลยังสามารถผลิตวัคซีนในอินเดียได้มากกว่า 200 ล้านโดส ประกอบกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ‘Cowin’ สำหรับลงทะเบียนฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขอินเดียก็ช่วยจัดระเบียบพลเมืองได้ดีเชียวล่ะ 
 
ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2022 นั้นขยายตัวขึ้นอยู่ที่ 9.2% ในปีงบประมาณของอินเดียซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2022 หลังจากที่หดตัว 6.6% ในปีงบประมาณ 2019/20  
 
อย่างไรก็ดี แม้จะเกิดโรคระบาด แต่เศรษฐกิจของอินเดียก็เติบโตในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในบรรดากลุ่มประเทศเศรษฐกิจเสียอีก 

4.นโยบายต่างประเทศ = บททดสอบสุดหิน

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4SZQ75OdXnU4ByB4nAIVF6/106bceb49d814257f56c42e2b1a4adeb/Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Photo04
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วโมทีไม่มีประสบการณ์ด้านนโยบายต่างประเทศมาก่อนที่จะขึ้นเป็นนายกฯ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะเชี่ยวชาญในการบริหารเศรษฐกิจ ดังนั้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศในรัฐบาลของโมทีจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับเขา 
 
หลังจากขึ้นสู่อำนาจ โมทีต้องเผชิญกับงานที่ยากลำบากในการสร้างภาพลักษณ์ เพราะเหตุจลาจลในรัฐคุชราต ปี 2002 ได้ทิ้งร่องรอยเชิงลบต่อบทบาทของเขาในฐานะมุขยมนตรีรัฐคุชราตมาก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้โมทีถูกสหรัฐฯ แบนไม่ให้เข้าประเทศ แต่คำสั่งแบนก็ถูกยกเลิกไปในภายหลังจากที่เขาขึ้นเป็นนายกฯ 
 
เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์…
 
ถึงกระนั้น โมทีเริ่มเดินหน้าทางการทูตทันทีหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ด้วยการเชิญผู้นำระดับภูมิภาคหลายคน รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ของปากีสถาน และอดีตประธานาธิบดีฮามิด คาร์ไซ ของอัฟกานิสถานเพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โมทีต้องการลบภาพลักษณ์สมัยที่ยังเป็นมุขยมนตรีรัฐคุชราตและแสดงตัวเป็นรัฐบุรุษ 
 
ในปีต่อๆ มา โมทีได้พัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ซึ่งหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2017 ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงนามข้อตกลงทางการค้าและกลาโหมหลายฉบับ ทั้งยังดำเนินการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันอีกด้วย 
 
อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมาอินเดียและรัสเซียจะเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนานและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่อินเดียภายใต้การบริหารของโมทีนั้นดูเหมือนจะถอยห่างจากรัสเซีย และใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากกว่าเดิมเสียอีก 
 
จากนโยบาย ‘Look East’ สู่ ‘Act East’
 
นโยบาย ‘มองตะวันออก’ (Look East) สู่ ‘ปฎิบัติการตะวันออก (Act East)’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงอินเดียกับเอเชียตะวันออกผ่านโครงสร้างพื้นฐาน การค้า และสถาบันระดับภูมิภาคในระดับที่ดีขึ้น 
 
ขณะที่นักวิเคราะห์ขนานนามว่านโยบาย ‘Act East’ เป็นนโยบายต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของโมที “ดูเหมือนว่าอินเดียจะได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมกับภูมิภาคนี้อย่างรอบด้านมากขึ้นผ่านนโยบายอินโดแปซิฟิก” 
 
“นโยบาย ‘Act East’ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงซึ่งไม่เหมือนกับความพยายามทางการทูตอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้อินเดียมีสิทธิ์ในการเดินเรือทางทะเลอย่างเสรีมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลจีนใต้ และยังได้ลงนามในข้อตกลงกับอินโดนีเซียเพื่อสร้างท่าเรือซาบัง (Sabang) ที่รัฐมะละกาซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์” นักวิเคราะห์กล่าว 
 
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “โดยรวมแล้ว นายกฯ โมทีได้เปลี่ยนแปลงมุมมองทางการทูตของอินเดียไปหลายประการ ทั้งรีเซ็ตความสัมพันธ์ของประเทศกับชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชีย” 
 
“นอกจากนี้ โมทียังมีท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นต่อข้อกล่าวหาที่สนับสนุนการก่อการร้ายของปากีสถาน และเพิ่มการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางด้วย” 
 
“หากโมทีได้รับเลือกอีกครั้ง อินเดียจะดำเนินตามทิศทางนโยบายต่างประเทศแบบเดียวกับที่เคยดำเนินมาในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะจริงจังมากขึ้นก็ตาม” 

5.‘UPI’ เศรษฐกิจดิจิทัลพาอินเดียสู่ ‘สมัยนิยม’

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7s3nFLsb71ksbe3EJ7GEEa/45fb697f249f794de8315b4a6ab35ecc/Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-SPACEBAR-Photo05
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในหลายๆ ประเทศผู้คนแทบจะไม่พกเงินสดกันแล้ว ซึ่งการใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็มักเป็นไปในรูปแบบออนไลน์ 
 
ขณะที่อินเดียภายใต้รัฐบาลของโมทีก็เกิด ‘นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล’ ด้วยการเปิดตัวระบบรับชำระและโอนเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Unified Payment Interface’ (UPI) แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารของผู้ใช้งานสำหรับการชำระเงินออนไลน์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเปิดตัวในปี 2016 ที่พัฒนาโดยหน่วยงาน ‘National Payments Corporation of India’ (NPCI) ผู้ดูแลแพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ของอินเดีย  
 
‘UPI’ ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญของรัฐบาล ซึ่งแม้แต่ผู้ขายของริมถนนก็ยอมรับการชำระเงินแบบดิจิทัลแม้จะในจำนวนเงินที่น้อยมากก็ตาม นอกจากนี้ พลเมืองยังนิยมใช้ระบบ ‘UPI’ จนแซงหน้าการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตในอินเดียด้วย  
 
การทำธุรกรรมสามารถอำนวยความสะดวกด้วยการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือรหัสคิวอาร์โค้ด (QR Code) ตั้งแต่ไม่กี่เซ็นต์ (สตางค์) ไปจนถึง 100,000 รูปี (ราว 42,000 บาท) ต่อวัน  
 
อย่างไรก็ดี ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ก็ยังกระตุ้นให้มีการนำระบบการชำระเงินดิจิทัลมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวางรวมถึงระบบ ‘UPI’ ด้วย ทำให้อินเดียกลายเป็นผู้นำในการทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์ของโลกในปี 2020 และนำหน้าจีนถึง 60% 
 
ในปี 2022 อินเดียยังกลายเป็นหนึ่งในผู้รับการโอนเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 3.5 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ พบว่า ชาวอินเดียเกือบ 260 ล้านคนใช้ ‘UPI’ และในเดือนมกราคม 2023 ที่ผ่านมา มีการบันทึกธุรกรรมการเงินประมาณ 8 พันล้านรายการมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 7 ล้านล้านบาท) 
 
อย่างไรก็ดี ระบบการชำระเงินดิจิทัลได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ทางเศรษฐกิจที่ปฏิวัติภาคการเงินและการธนาคารอย่างสิ้นเชิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นก็เพราะว่าระบบทุกอย่างมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายซึ่งสามารถชำระเงินได้จากที่บ้านไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ จ่ายบิล หรือแม้แต่สั่งซื้อยา  
 
กลายเป็นสังคมไร้เงินสด…
 
หลังจากรัฐบาลโมทีนำระบบนี้เข้ามาใช้ก็เห็นได้ชัดว่าการใช้เงินสดลดลง ขณะที่การชำระเงินแบบดิจิทัลนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การลดลงของกระแสเงินสดหมุนเวียนในเศรษฐกิจอินเดียที่ช่วยรัฐบาลในวาระที่ต้องการให้อินเดียกลายเป็น ‘เศรษฐกิจไร้เงินสด’ (cashless economy) 
 
“อินเดีย (ต้องการ) สร้างระบบใหม่ซึ่งคุณสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารในประเทศของคุณได้โดยไม่ต้องแตะต้องระบบเงินดอลลาร์” วิเวก อับราฮัม อาสาสมัครของ iSpirt กล่าว 
 
และนี่คือ 5 ปรากฏการณ์ที่โมทีสร้างให้กับอินเดียมาตลอดช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดชายผู้นี้ที่นามว่า ‘นเรนทระ โมที’ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนแปลงและนำพาอินเดียไปในทิศทางที่ดีขึ้น 
 
การบริหารของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกท่ามกลางความท้าทายที่รออยู่ว่า ‘โมทีจะพาอินเดียก้าวไปสู่มหาอำนาจของโลกได้หรือไม่?’ หากว่าประชาชนยังพร้อมที่จะให้โอกาสเขาอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในปี 2024 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5Ocnh1par3r7ebPHgfQ4JP/d3ee8837bff1753b801cfde968d11b19/info__Why-narendra-modi-pm-india-best-leader-in-the-world-2023-02

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์