หลังออกข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ณ กรุงเฮกได้ออกหมายจับกุมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในกระบวนการขั้นแรกที่จะกินเวลายาวนานมาก ขณะที่สหประชาชาติเชื่ออย่างชัดเจนว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวหาผู้นำรัสเซียว่าก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครน
ข้อหาดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่อาชญากรรมที่น่าสะเทือนใจที่สุดบางส่วนจากการรุกรานของรัสเซีย นั่นคือ เด็กยูเครนหลายพันคนถูกลักพาตัวและถูกส่งตัวไปยังรัสเซีย ทั้งยังแสดงถึงความพยายามในการลบอัตลักษณ์ของชาวยูเครนด้วยการให้ความรู้แก่เด็กๆ ให้เป็นชาวรัสเซียด้วย ซึ่งอาชญากรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่คุกคามชาวยูเครนที่เปราะบางที่สุดเท่านั้น แต่ยังทำให้ครอบครัวแตกแยกด้วย
ทว่าทุกอย่างอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคิดทั้งในเรื่องการนำตัวปูตินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือการส่งตัวให้ทางการ จึงอาจมีข้อสงสัยที่ว่า ‘ปูตินจะถูกจับจริงๆ ใช่ไหม?’ จริงๆ แล้วปูตินถูกตั้งข้อกล่าวหาใดกันแน่? และเหตุใดข้อกล่าวหาเหล่านี้จึงมีความสำคัญ?
ข้อหาดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่อาชญากรรมที่น่าสะเทือนใจที่สุดบางส่วนจากการรุกรานของรัสเซีย นั่นคือ เด็กยูเครนหลายพันคนถูกลักพาตัวและถูกส่งตัวไปยังรัสเซีย ทั้งยังแสดงถึงความพยายามในการลบอัตลักษณ์ของชาวยูเครนด้วยการให้ความรู้แก่เด็กๆ ให้เป็นชาวรัสเซียด้วย ซึ่งอาชญากรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่คุกคามชาวยูเครนที่เปราะบางที่สุดเท่านั้น แต่ยังทำให้ครอบครัวแตกแยกด้วย
ทว่าทุกอย่างอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคิดทั้งในเรื่องการนำตัวปูตินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือการส่งตัวให้ทางการ จึงอาจมีข้อสงสัยที่ว่า ‘ปูตินจะถูกจับจริงๆ ใช่ไหม?’ จริงๆ แล้วปูตินถูกตั้งข้อกล่าวหาใดกันแน่? และเหตุใดข้อกล่าวหาเหล่านี้จึงมีความสำคัญ?
ปูตินถูกตั้งข้อหาอะไร?

อย่างที่หลายคนทราบว่าปูตินถูก ICC ออกหมายศาลและตั้งข้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเด็กยูเครนของรัสเซียภายใต้มาตรา 2 ข้อของธรรมนูญกรุงโรม ได้แก่ การเนรเทศพลเรือนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการย้ายเด็กจากยูเครนที่ถูกยึดครองไปยังรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ICC ยังได้ออกหมายจับภายใต้ข้อหาเดียวกันสำหรับ ‘มาเรีย อะเลคซายีฟนา ลโววา-เบโลว่า’ กรรมาธิการเพื่อสิทธิเด็กของปูติน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบโครงการที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อวันพฤหัสบดี (16 มี.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ารัสเซียก่ออาชญากรรมสงคราม รวมถึงการบังคับเคลื่อนย้ายเด็ก
“มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยแต่ละคนมีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามของการเนรเทศประชากรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการย้ายประชากรออกจากพื้นที่ยึดครองของยูเครนไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย อันเป็นอคติต่อเด็กยูเครนด้วย” ICC กล่าวในแถลงการณ์
“แม้ว่าจะไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของเด็กที่ถูกย้ายไปรัสเซีย แต่ทั้งทางการรัสเซียและยูเครนระบุว่า มีเด็กหลายแสนคนถูกย้ายไปยังรัสเซีย ทั้งยังไม่ปรากฏว่าทางการรัสเซียพยายามที่จะติดต่อกับญาติของเด็กหรือกับทางการยูเครน” รายงานของสหประชาชาติระบุ
นอกจากนี้ ICC ยังได้ออกหมายจับภายใต้ข้อหาเดียวกันสำหรับ ‘มาเรีย อะเลคซายีฟนา ลโววา-เบโลว่า’ กรรมาธิการเพื่อสิทธิเด็กของปูติน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบโครงการที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อวันพฤหัสบดี (16 มี.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ารัสเซียก่ออาชญากรรมสงคราม รวมถึงการบังคับเคลื่อนย้ายเด็ก
“มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยแต่ละคนมีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามของการเนรเทศประชากรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการย้ายประชากรออกจากพื้นที่ยึดครองของยูเครนไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย อันเป็นอคติต่อเด็กยูเครนด้วย” ICC กล่าวในแถลงการณ์
“แม้ว่าจะไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของเด็กที่ถูกย้ายไปรัสเซีย แต่ทั้งทางการรัสเซียและยูเครนระบุว่า มีเด็กหลายแสนคนถูกย้ายไปยังรัสเซีย ทั้งยังไม่ปรากฏว่าทางการรัสเซียพยายามที่จะติดต่อกับญาติของเด็กหรือกับทางการยูเครน” รายงานของสหประชาชาติระบุ
ปูตินจะถูกจับกุมไหม?

ปัจจุบันผู้นำรัสเซียมีอำนาจอย่างไม่มีใครขัดขวางได้ในดินแดนบ้านเกิดของเขา ดังนั้นจึงไม่มีความเป็นไปได้ที่เครมลินจะส่งตัวปูตินไปให้ ICC ตราบใดที่เขายังคงอยู่ในรัสเซีย เขาจะไม่เสี่ยงต่อการถูกจับกุม แต่หากเขาเดินทางออกนอกประเทศก็อาจเสี่ยงต่อการถูกจับก็เป็นได้
ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว อีกทั้งรัสเซียเองก็ไม่ได้เป็นภาคีของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศและอีก 123 รัฐที่ลงนาม และปูตินไม่น่าจะเดินทางไปยังประเทศที่เห็นด้วยกับธรรมนูญดังกล่าวในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็ไม่มีการรับประกันว่าเขาจะถูกจับกุมหรือไม่ เนื่องจากประเทศที่เขาเดินทางไปจะต้องเต็มใจที่จะจับกุมเขาด้วย
“ปูตินจะไม่ออกจากรัสเซีย ไม่มีรัฐบาลโลกใดที่สามารถบังคับให้เขาออกจากรัสเซียได้ ผมไม่คิดว่าจะไม่มีทางที่เขาจะได้รับผลกระทบส่วนตัว” บิล เบาว์ริง ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Birkbeck College ในลอนดอน ซึ่งเป็นตัวแทนในคดีต่อต้านรัสเซียในศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปกล่าว
“ICC สามารถแทรกแซงได้ก็ต่อเมื่อรัฐไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ซึ่งทั้ง 123 รัฐตกลงที่จะปฏิบัติตาม แต่มีข้อยกเว้นที่สำคัญบางประการ รวมถึงรัสเซียด้วย”
นอกจากนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศยังไม่น่าจะพิจารณาคดีปูตินโดยไม่จับกุมเขาได้ เนื่องจากศาลจะไม่ดำเนินการพิจารณาคดีหากไม่มีผู้ถูกกล่าวหาอยู่ด้วย
ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว อีกทั้งรัสเซียเองก็ไม่ได้เป็นภาคีของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศและอีก 123 รัฐที่ลงนาม และปูตินไม่น่าจะเดินทางไปยังประเทศที่เห็นด้วยกับธรรมนูญดังกล่าวในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็ไม่มีการรับประกันว่าเขาจะถูกจับกุมหรือไม่ เนื่องจากประเทศที่เขาเดินทางไปจะต้องเต็มใจที่จะจับกุมเขาด้วย
“ปูตินจะไม่ออกจากรัสเซีย ไม่มีรัฐบาลโลกใดที่สามารถบังคับให้เขาออกจากรัสเซียได้ ผมไม่คิดว่าจะไม่มีทางที่เขาจะได้รับผลกระทบส่วนตัว” บิล เบาว์ริง ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Birkbeck College ในลอนดอน ซึ่งเป็นตัวแทนในคดีต่อต้านรัสเซียในศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปกล่าว
แล้วปูตินจะถูกพิจารณาคดีจริงหรือไม่?
คำตอบที่ได้ คือ ยากมาก และถือเป็นอุปสรรคใหญ่ก็ว่าได้ เนื่องจากรัสเซียไม่ยอมรับอำนาจศาลของ ICC และธรรมนูญแห่งกรุงโรมนี้ระบุว่า “เป็นหน้าที่ของทุกรัฐที่จะใช้เขตอำนาจศาลทางอาญาของตนเองเหนือผู้ที่รับผิดชอบต่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ…”“ICC สามารถแทรกแซงได้ก็ต่อเมื่อรัฐไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ซึ่งทั้ง 123 รัฐตกลงที่จะปฏิบัติตาม แต่มีข้อยกเว้นที่สำคัญบางประการ รวมถึงรัสเซียด้วย”
นอกจากนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศยังไม่น่าจะพิจารณาคดีปูตินโดยไม่จับกุมเขาได้ เนื่องจากศาลจะไม่ดำเนินการพิจารณาคดีหากไม่มีผู้ถูกกล่าวหาอยู่ด้วย
หากปูตินไม่ถูกจับ! เหตุใดข้อกล่าวหาจึงสำคัญ?

การประกาศจับดังกล่าวนั้นอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อความคิดเห็นของประชาชน ทั้งในระดับสากลและภายในรัสเซียเอง
“ในขณะที่ประเทศตะวันตกจำนวนมากรังเกียจรัสเซีย แต่ปูตินก็ยังคงหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากประเทศต่างๆ อย่างอินเดียและแอฟริกาใต้ ซึ่งอาจรู้สึกว่ารัสเซียถูกบังคับให้ดำเนินการในยูเครนอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติโดย NATO” เบาว์ริง กล่าว
“มันแสดงให้เห็นจริงๆ ว่ารัสเซียเป็นประเทศนอกกรอบในประชาคมระหว่างประเทศ” แพทริก คีแนน ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศวิทยาลัยกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์กล่าว
“การตั้งข้อหาดังกล่าวอาจช่วยส่งเสริมการสนับสนุนยูเครนในหมู่ประเทศสมาชิก NATO และช่วยผลักดันให้บางประเทศส่งอาวุธจำนวนมากและหลากหลายไปยังยูเครน…ในระยะยาว มันอาจเสริมการสนับสนุนให้กับ NATO ที่ทรงพลังด้วยซ้ำ” คีแนนกล่าว
ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจทำให้สถานะของปูตินในรัสเซียอ่อนแอลง โดย เบาว์ริง ได้ระบุไว้ว่า ปูตินวางตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้นำที่รักษา ‘ค่านิยมดั้งเดิมของครอบครัวและเป็นผู้ปกป้องเด็ก’ ตรงกันข้ามกับตะวันตกที่ไม่บริสุทธิ์ “ผมสงสัยว่านั่นเป็นสิ่งที่รัสเซียจะอ่อนไหว เพราะโดยทั่วไปแล้วรัสเซียชอบแสดงออกว่าเป็นห่วงเด็กๆ เป็นพิเศษ” เบาว์ริงกล่าว
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้อกล่าวหาพวกนี้จะเป็นหลักฐานมัดตัวปูตินและพวกพ้องรัสเซียให้อ่อนแอลงนั่นเอง ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ตะวันตกส่งอาวุธไปช่วยยูเครนมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้แล้วยังมีคำถามตามมาอีกว่า ‘ปูตินจะถูกตั้งข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือก่ออาชญากรรมอื่นๆ ได้หรือไม่?’ คีแนน กล่าวว่า “ICC อาจยื่นฟ้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นไปได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะดูเหมือนว่าผู้นำ ทหาร และทหารรับจ้างของรัสเซียได้ก่ออาชญากรรมสงครามต่อมนุษยชาติในยูเครน รวมทั้งพุ่งเป้าไปที่พลเรือนด้วย”
“ICC อาจเลือกที่จะตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ผมเดาว่าน่าจะมีข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ผมคิดว่ามีหลักฐานว่ารัสเซียและกองกำลังรัสเซียพยายามกำจัดชาวยูเครน”
“ในขณะที่ประเทศตะวันตกจำนวนมากรังเกียจรัสเซีย แต่ปูตินก็ยังคงหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากประเทศต่างๆ อย่างอินเดียและแอฟริกาใต้ ซึ่งอาจรู้สึกว่ารัสเซียถูกบังคับให้ดำเนินการในยูเครนอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติโดย NATO” เบาว์ริง กล่าว
“มันแสดงให้เห็นจริงๆ ว่ารัสเซียเป็นประเทศนอกกรอบในประชาคมระหว่างประเทศ” แพทริก คีแนน ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศวิทยาลัยกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์กล่าว
“การตั้งข้อหาดังกล่าวอาจช่วยส่งเสริมการสนับสนุนยูเครนในหมู่ประเทศสมาชิก NATO และช่วยผลักดันให้บางประเทศส่งอาวุธจำนวนมากและหลากหลายไปยังยูเครน…ในระยะยาว มันอาจเสริมการสนับสนุนให้กับ NATO ที่ทรงพลังด้วยซ้ำ” คีแนนกล่าว
ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจทำให้สถานะของปูตินในรัสเซียอ่อนแอลง โดย เบาว์ริง ได้ระบุไว้ว่า ปูตินวางตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้นำที่รักษา ‘ค่านิยมดั้งเดิมของครอบครัวและเป็นผู้ปกป้องเด็ก’ ตรงกันข้ามกับตะวันตกที่ไม่บริสุทธิ์ “ผมสงสัยว่านั่นเป็นสิ่งที่รัสเซียจะอ่อนไหว เพราะโดยทั่วไปแล้วรัสเซียชอบแสดงออกว่าเป็นห่วงเด็กๆ เป็นพิเศษ” เบาว์ริงกล่าว
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้อกล่าวหาพวกนี้จะเป็นหลักฐานมัดตัวปูตินและพวกพ้องรัสเซียให้อ่อนแอลงนั่นเอง ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ตะวันตกส่งอาวุธไปช่วยยูเครนมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้แล้วยังมีคำถามตามมาอีกว่า ‘ปูตินจะถูกตั้งข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือก่ออาชญากรรมอื่นๆ ได้หรือไม่?’ คีแนน กล่าวว่า “ICC อาจยื่นฟ้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นไปได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะดูเหมือนว่าผู้นำ ทหาร และทหารรับจ้างของรัสเซียได้ก่ออาชญากรรมสงครามต่อมนุษยชาติในยูเครน รวมทั้งพุ่งเป้าไปที่พลเรือนด้วย”
“ICC อาจเลือกที่จะตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ผมเดาว่าน่าจะมีข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ผมคิดว่ามีหลักฐานว่ารัสเซียและกองกำลังรัสเซียพยายามกำจัดชาวยูเครน”
ดูเหมือนว่าสัญญาณจาก ICC จะไม่มีความหมายอะไร!

การออกหมายจับปูตินครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณจากประชาคมระหว่างประเทศว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนนั้นกำลังขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ปฏิกิริยาหลักจากรัสเซียจนถึงขณะนี้คือ การเพิกถอนหมายจับอย่างไร้ความหมาย
อันที่จริง เครมลินปฏิเสธว่ากองกำลังของตนไม่ได้กระทำการโหดร้ายใดๆ ในยูเครน และโฆษกของปูตินเรียกการตัดสินใจของ ICC ว่า ‘อุกอาจและยอมรับไม่ได้’
เมื่อเผชิญกับการท้าทายเช่นนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของ ICC จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสงครามของรัสเซียในยูเครน และปฏิบัติการทางทหารพิเศษของปูตินก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไร้ความปรานีด้วย
อันที่จริง เครมลินปฏิเสธว่ากองกำลังของตนไม่ได้กระทำการโหดร้ายใดๆ ในยูเครน และโฆษกของปูตินเรียกการตัดสินใจของ ICC ว่า ‘อุกอาจและยอมรับไม่ได้’
เมื่อเผชิญกับการท้าทายเช่นนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของ ICC จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสงครามของรัสเซียในยูเครน และปฏิบัติการทางทหารพิเศษของปูตินก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไร้ความปรานีด้วย