ฆาตกรต่อเนื่อง คือ คนที่ฆ่าคนอย่างน้อย 2 คนในเหตุการณ์ที่แยกจากกันซึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน แตกต่างจากการฆาตกรรมหมู่ตรงที่เหยื่อหลายคนถูกสังหารในเวลาและสถานที่เดียวกัน
นอกจาก ‘ซีอุย แซ่อึ้ง’ ที่หลายคนกล่าวหาว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องคดีดังแล้ว และล่าสุดกับกระแสข่าวครึกโครมกับฆาตกรต่อเนื่องหญิงภรรยาตำรวจที่ลอบวางยาไซยาไนด์สังหารเหยื่อมาแล้วกว่า 10 ศพด้วยกัน โดย 2 ใน 10 ศพยังเป็นถึงสารวัตรหญิงอีกต่างหาก พฤติกรรมนี้กำลังสร้างความฉงนและตำรวจกำลังเร่งสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาแรงจูงใจอยู่ในขณะนี้
ที่ผ่านมาชาวโลกต้องอกสั่นขวัญผวากับเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องมานับครั้งไม่ถ้วน จนมีการบันทึกโฉมหน้า ‘ฆาตกรต่อเนื่องที่โหดที่สุดในโลก’ มาดูกันว่ามีใครบ้าง? พวกเขาโหดร้ายแค่ไหน? เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต้องสังเวยไปกี่ศพ? และแรงจูงใจคืออะไร?
‘แกรี ริดจ์เวย์’ นักฆ่าแห่งกรีนริเวอร์ / 48 ศพ

‘แกรี ริดจ์เวย์’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Green River Killer’ ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกันผู้ล่วงละเมิดทางเพศที่กลายเป็นคดีดังในช่วงปี 1980 และ 1990 ซึ่งริดจ์เวย์ยอมรับว่าเขาเป็นผู้ลงมือฆ่าต่อเนื่องเองและเชื่อมโยงกับการตายของหญิงสาว 48 คน โดยส่วนใหญ่ถูกรัดคอตายบริเวณเมืองซีแอตเทิลและทาโคมา รัฐวอชิงตัน
ฆาตกรรายนี้หนีรอดมาได้ตลอดเกือบ 20 ปีกว่าจะถูกจับได้และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาก่อคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่ระหว่างปี 1982-1984 ในช่วงเวลานั้น ศพของเหยื่อหลายคนถูกพบใกล้กับกรีนริเวอร์ในวอชิงตัน ริดจ์เวย์จึงได้รับสมญานามว่าเป็น ‘นักฆ่าแห่งกรีนริเวอร์’
ทั้งนี้ พบว่าเหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ดังนั้นตำรวจจึงสามารถระบุลักษณะทั่วไปที่ฆาตกรมองหาและใช้ข้อมูลนั้นในการสืบสวน
ฆาตกรรายนี้หนีรอดมาได้ตลอดเกือบ 20 ปีกว่าจะถูกจับได้และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาก่อคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่ระหว่างปี 1982-1984 ในช่วงเวลานั้น ศพของเหยื่อหลายคนถูกพบใกล้กับกรีนริเวอร์ในวอชิงตัน ริดจ์เวย์จึงได้รับสมญานามว่าเป็น ‘นักฆ่าแห่งกรีนริเวอร์’
ทั้งนี้ พบว่าเหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ดังนั้นตำรวจจึงสามารถระบุลักษณะทั่วไปที่ฆาตกรมองหาและใช้ข้อมูลนั้นในการสืบสวน

ในปี 1982 เขาถูกจับในข้อหาค้าประเวณีและเป็นผู้ต้องสงสัยในการสังหาร แต่หลังจากผ่านการทดสอบเครื่องจับเท็จซึ่งเขาอ้างว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาก็ได้รับการปล่อยตัว ่ทว่าสมาชิกของหน่วยเฉพาะกิจยังคงสงสัยและเก็บตัวอย่างเส้นผมและน้ำลายของเขาเอาไว้
หลังจากปี 1984 การฆาตกรรมดูเหมือนจะหยุดลง แต่การค้นหาฆาตกรยังคงดำเนินต่อไป จวบจนกระทั่งในปี 2001 ที่นักวิจัยได้หลักฐาน DNA ของฆาตกร และนำไปเปรียบเทียบกับเส้นผมของริดจ์เวย์ จึงทำให้เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2001 หลังจากเชื่อมโยงกับการฆาตกรรมผู้หญิง 4 คน
ในระหว่างการพิจารณาคดีในปี 2003 ริดจ์เวย์สารภาพว่าเขาได้ฆาตกรรมผู้หญิง 48 คน และการอีกฆาตกรรม 71 คดี แต่คาดว่ามีเอี่ยวมากถึง 90 คดี อย่างไรก็ดี เขาตกลงที่จะช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นหาซากศพของเหยื่อที่ยังไม่ถูกค้นพบเพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิต
ริดจ์เวย์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขาถูกขังอยู่ที่เรือนจำชาย Washington State Penitentiary และไม่มีความหวังในการรอลงอาญา
หลังจากปี 1984 การฆาตกรรมดูเหมือนจะหยุดลง แต่การค้นหาฆาตกรยังคงดำเนินต่อไป จวบจนกระทั่งในปี 2001 ที่นักวิจัยได้หลักฐาน DNA ของฆาตกร และนำไปเปรียบเทียบกับเส้นผมของริดจ์เวย์ จึงทำให้เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2001 หลังจากเชื่อมโยงกับการฆาตกรรมผู้หญิง 4 คน
ในระหว่างการพิจารณาคดีในปี 2003 ริดจ์เวย์สารภาพว่าเขาได้ฆาตกรรมผู้หญิง 48 คน และการอีกฆาตกรรม 71 คดี แต่คาดว่ามีเอี่ยวมากถึง 90 คดี อย่างไรก็ดี เขาตกลงที่จะช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นหาซากศพของเหยื่อที่ยังไม่ถูกค้นพบเพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิต
ริดจ์เวย์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขาถูกขังอยู่ที่เรือนจำชาย Washington State Penitentiary และไม่มีความหวังในการรอลงอาญา
‘จาเว็ด อิกบาล’ ฆาตกรโหดหั่นศพ / 100 ศพ

ฆาตกรต่อเนื่องชาวปากีสถาน100 คนที่อายุตั้งแต่ 6-16 ปีด้วยการรัดคอเหยื่อ แยกชิ้นส่วนศพและละลายในน้ำกรดเพื่อปกปิดหลักฐาน
คดีของเขาดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ ไม่เพียงแต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เพราะการตัดสินของเขาทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในลักษณะที่คล้ายกับการทรมานและสังหารเหยื่อของเขาด้วย
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของอิกบาล แม้ว่าจะมีการร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมทางเพศต่อเขาในปี 1985 และ 1990 แต่เขาก็ไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาใดๆ
ในเวลาต่อมาอิกบาลต้องยอมจำนนต่อทางการปากีสถานในปี 1999 หลังจากสารภาพว่าทำการฆาตกรรม 100 ครั้งในช่วงเวลา 6 เดือน โดยเขาสารภาพว่าได้ล่อลวงเด็กชายเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขอทานและเด็กเร่ร่อนอายุระหว่าง 6-16 ปีมาที่บ้านของเขาในเมืองละฮอร์ จากนั้นอิกบาลก็ข่มขืนพวกเขา บีบคอจนตาย พร้อมทั้งแยกชิ้นส่วนของร่างกาย และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทิ้งในถังกรด
แม้ว่าภายหลังเขาจะปฏิเสธความผิด แต่อิกบาลก็ถูกตัดสินประหารชีวิต 100 ครั้ง โดยศาลสั่งประหารชีวิตเขาด้วยโซ่เส้นเดียวกับที่เขาใช้รัดคอเหยื่อ และให้หั่นศพออกเป็น 100 ชิ้นแล้วละลายในน้ำกรด อย่างไรก็ตาม ก่อนการประหารชีวิตจะเกิดขึ้น อิกบาลและผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดเช่นกันถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังของตัวเอง แม้จะมีข้อบ่งชี้ถึงการเล่นที่ผิดกติกา แต่การเสียชีวิตของพวกเขาก็ถูกตัดสินอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
คดีของเขาดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ ไม่เพียงแต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เพราะการตัดสินของเขาทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในลักษณะที่คล้ายกับการทรมานและสังหารเหยื่อของเขาด้วย
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของอิกบาล แม้ว่าจะมีการร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมทางเพศต่อเขาในปี 1985 และ 1990 แต่เขาก็ไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาใดๆ
ในเวลาต่อมาอิกบาลต้องยอมจำนนต่อทางการปากีสถานในปี 1999 หลังจากสารภาพว่าทำการฆาตกรรม 100 ครั้งในช่วงเวลา 6 เดือน โดยเขาสารภาพว่าได้ล่อลวงเด็กชายเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขอทานและเด็กเร่ร่อนอายุระหว่าง 6-16 ปีมาที่บ้านของเขาในเมืองละฮอร์ จากนั้นอิกบาลก็ข่มขืนพวกเขา บีบคอจนตาย พร้อมทั้งแยกชิ้นส่วนของร่างกาย และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทิ้งในถังกรด
แม้ว่าภายหลังเขาจะปฏิเสธความผิด แต่อิกบาลก็ถูกตัดสินประหารชีวิต 100 ครั้ง โดยศาลสั่งประหารชีวิตเขาด้วยโซ่เส้นเดียวกับที่เขาใช้รัดคอเหยื่อ และให้หั่นศพออกเป็น 100 ชิ้นแล้วละลายในน้ำกรด อย่างไรก็ตาม ก่อนการประหารชีวิตจะเกิดขึ้น อิกบาลและผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดเช่นกันถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังของตัวเอง แม้จะมีข้อบ่งชี้ถึงการเล่นที่ผิดกติกา แต่การเสียชีวิตของพวกเขาก็ถูกตัดสินอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
‘ฮาโรลด์ ชิปแมน’ ฆาตกรในคราบหมอ

‘ฮาโรลด์ ชิปแมน’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เฟร็ด ชิปแมน’ แพทย์ทั่วไปชาวอังกฤษที่เชื่อถือได้และเป็นที่นับถือซึ่งรักษาผู้ป่วยมากกว่า 3,000 รายในอาชีพของเขา แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ธรรมดาๆ นั้น เขากลับเป็นคนติดยาและมีความผิดหลายอย่าง ทั้งยังเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยมีเหยื่อประมาณ 250 คน
ชิปแมนเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในแมนเชสเตอร์ เขาเป็นเด็กที่สดใส และเริ่มสนใจเรื่องยาเมื่อเห็นแม่ของเขาได้รับการฉีดมอร์ฟีนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดขณะที่เธอกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งปอด
ในปี 1970 เขาได้รับปริญญาแพทย์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ และไม่กี่ปีต่อมาเขาก็กลายเป็นแพทย์ทั่วไปในเมืองท็อดมอร์เดนในเขตเทศมณฑลแลงคาสเชอร์ ต่อมาในปี 1975 ก็พบว่าชิปแมนได้เขียนใบสั่งยาปลอมหลายรายการสำหรับยาระงับปวดออกฤทธิ์เร็ว (opiate pethidine) และนั่นทำให้เขาติดยา และถูกบังคับให้เข้ารับการบำบัดยาเสพติด
ในปี 1977 ชิปแมนกลับมาเป็นแพทย์ทั่วไปและได้รับการยอมรับอีกครั้งในเมืองไฮด์ในเขต Greater Manchester แต่ไม่มีใครรู้ว่าการสังหารผู้ป่วยของเขาเริ่มขึ้นเมื่อใด และการสังหารก็ทวีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ เหยื่อส่วนใหญ่ของเขามักเป็นผู้หญิง โดยที่ชิปแมนจะคอยฉีดยาไดอามอร์ฟีนให้กับผู้ป่วยหญิงชราตามบ้าน การพบศพส่วนมากจึงถูกพบว่าเหยื่อนั่งในห้องนั่งเล่นราวกับว่าพวกเขาเสียชีวิตอย่างสงบด้วยสาเหตุธรรมชาติ
หลังจากทางการเริ่มสงสัยและขุดศพขึ้นมาเพื่อสืบสวน ก็ทำให้ชิปแมนถูกจับกุมในปี 1998 แต่ 2 ปีต่อมา ศาลอังกฤษตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆาตกรรม 15 ศพ ทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้การสืบสวนในภายหลังยังเชื่อมโยงไปถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดอีกกว่า 215 รายด้วย
ท้ายที่สุดเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในห้องขังด้วยการแขวนคอตาย ทั้งนี้มีการตีความไปต่างๆ นานาว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาลงมือฆ่าคน บ้างก็บอกว่าอาจเพราะเขาได้เห็นความทุกข์ทรมานของแม่ของเขาหรือไม่ หรือเขาอาจเชื่อว่าการเสียชีวิตด้วยเข็มฉีดยาของแพทย์ที่เชื่อถือได้นั้นเป็นมิตรเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หรือเขาเกลียดผู้หญิง? (คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) เขาเป็นคนวิกลจริตหรือไม่?
ทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? มันยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ “เขาทำเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาบางอย่างภายในตัวเขาเอง...เพื่อกำจัดความวิตกกังวล แต่เป็นความวิตกกังวลที่เขาอาจไม่ได้คิดไปเอง” ดร.ริชาร์ด แบดค็อก นักนิติจิตวิทยากล่าว
ชิปแมนเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในแมนเชสเตอร์ เขาเป็นเด็กที่สดใส และเริ่มสนใจเรื่องยาเมื่อเห็นแม่ของเขาได้รับการฉีดมอร์ฟีนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดขณะที่เธอกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งปอด
ในปี 1970 เขาได้รับปริญญาแพทย์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ และไม่กี่ปีต่อมาเขาก็กลายเป็นแพทย์ทั่วไปในเมืองท็อดมอร์เดนในเขตเทศมณฑลแลงคาสเชอร์ ต่อมาในปี 1975 ก็พบว่าชิปแมนได้เขียนใบสั่งยาปลอมหลายรายการสำหรับยาระงับปวดออกฤทธิ์เร็ว (opiate pethidine) และนั่นทำให้เขาติดยา และถูกบังคับให้เข้ารับการบำบัดยาเสพติด
ในปี 1977 ชิปแมนกลับมาเป็นแพทย์ทั่วไปและได้รับการยอมรับอีกครั้งในเมืองไฮด์ในเขต Greater Manchester แต่ไม่มีใครรู้ว่าการสังหารผู้ป่วยของเขาเริ่มขึ้นเมื่อใด และการสังหารก็ทวีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ เหยื่อส่วนใหญ่ของเขามักเป็นผู้หญิง โดยที่ชิปแมนจะคอยฉีดยาไดอามอร์ฟีนให้กับผู้ป่วยหญิงชราตามบ้าน การพบศพส่วนมากจึงถูกพบว่าเหยื่อนั่งในห้องนั่งเล่นราวกับว่าพวกเขาเสียชีวิตอย่างสงบด้วยสาเหตุธรรมชาติ
หลังจากทางการเริ่มสงสัยและขุดศพขึ้นมาเพื่อสืบสวน ก็ทำให้ชิปแมนถูกจับกุมในปี 1998 แต่ 2 ปีต่อมา ศาลอังกฤษตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆาตกรรม 15 ศพ ทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้การสืบสวนในภายหลังยังเชื่อมโยงไปถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดอีกกว่า 215 รายด้วย
ท้ายที่สุดเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในห้องขังด้วยการแขวนคอตาย ทั้งนี้มีการตีความไปต่างๆ นานาว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาลงมือฆ่าคน บ้างก็บอกว่าอาจเพราะเขาได้เห็นความทุกข์ทรมานของแม่ของเขาหรือไม่ หรือเขาอาจเชื่อว่าการเสียชีวิตด้วยเข็มฉีดยาของแพทย์ที่เชื่อถือได้นั้นเป็นมิตรเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หรือเขาเกลียดผู้หญิง? (คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) เขาเป็นคนวิกลจริตหรือไม่?
ทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? มันยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ “เขาทำเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาบางอย่างภายในตัวเขาเอง...เพื่อกำจัดความวิตกกังวล แต่เป็นความวิตกกังวลที่เขาอาจไม่ได้คิดไปเอง” ดร.ริชาร์ด แบดค็อก นักนิติจิตวิทยากล่าว
‘ลุยส์ การาบิโต’ เดรัจฉานในร่างมนุษย์ / 189 ศพ

ฆาตกรต่อเนื่องชาวโคลอมเบีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘La Bestia’ หรือ ‘Tribilin / The Beast’ ในเดือนตุลาคมปี 1999 เขาสารภาพว่าลงมือข่มขืน ทรมาน ทำร้ายร่างกาย และสังหารผู้เยาว์ 189 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและเด็กชายในภูมิภาคโคลอมเบียตะวันตก
การาบิโตถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าเด็กชาย 189 คนในปี 1990 โดยเหยื่อของการาวิโตหลายคนอาศัยอยู่ในย่านยากจน ทำให้ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าการหายตัวไปของเหยื่อนั้นถูกเพิกเฉยหรือมองข้ามไป
อย่างไรก็ดี เขาเข้าหาเหยื่อด้วยการปลอมตัวเป็นขอทาน หรือคนพิการ บางครั้งก็สวมรอยเป็นพระ์หรือเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิการกุศลเพื่อสะกดรอยตามเด็กๆ ที่ยากไร้ และหลอกล่อเด็กชายด้วยการสัญญาว่าจะให้เงินหรือเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ล่วงละเมิดทางเพศและเชือดคอเหยื่อทิ้ง
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 มีรายงานว่าพบ เด็กชายชาวโคลอมเบียหลายคนซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 8-16 ปี สูญหายหรือถูกพบเป็นศพ ร่างกายของพวกเขาขาดวิ่นอย่างไร้ความปรานี และมีร่องรอยของการถูกทำร้ายทางเพศ
ตำรวจออกหมายจับการาบิโตครั้งแรกในปี 1996 ข้อหาฆาตกรรมเด็ก แต่เขาสามารถหลบหนีมาได้หลายปี กระทั่งในปี 1999 การาบิโตซึ่งขณะนั้นเป็นคนพเนจรและมีอาการป่วยทางจิตมาอย่างยาวนานก็ถูกจับในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหนุ่ม โดยเขาสารภาพว่าได้ฆ่าเด็กชาย 140 คน และได้รับโทษจำคุก 835 ปีในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 189 คน
เมื่อถูกถามว่าทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? คำตอบของเขาก็คือ “ผมรู้สึกมีความสุขแม้ว่าผมจะฆ่าคนก็ตาม”
การาบิโตถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าเด็กชาย 189 คนในปี 1990 โดยเหยื่อของการาวิโตหลายคนอาศัยอยู่ในย่านยากจน ทำให้ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าการหายตัวไปของเหยื่อนั้นถูกเพิกเฉยหรือมองข้ามไป
อย่างไรก็ดี เขาเข้าหาเหยื่อด้วยการปลอมตัวเป็นขอทาน หรือคนพิการ บางครั้งก็สวมรอยเป็นพระ์หรือเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิการกุศลเพื่อสะกดรอยตามเด็กๆ ที่ยากไร้ และหลอกล่อเด็กชายด้วยการสัญญาว่าจะให้เงินหรือเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ล่วงละเมิดทางเพศและเชือดคอเหยื่อทิ้ง
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 มีรายงานว่าพบ เด็กชายชาวโคลอมเบียหลายคนซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 8-16 ปี สูญหายหรือถูกพบเป็นศพ ร่างกายของพวกเขาขาดวิ่นอย่างไร้ความปรานี และมีร่องรอยของการถูกทำร้ายทางเพศ
ตำรวจออกหมายจับการาบิโตครั้งแรกในปี 1996 ข้อหาฆาตกรรมเด็ก แต่เขาสามารถหลบหนีมาได้หลายปี กระทั่งในปี 1999 การาบิโตซึ่งขณะนั้นเป็นคนพเนจรและมีอาการป่วยทางจิตมาอย่างยาวนานก็ถูกจับในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหนุ่ม โดยเขาสารภาพว่าได้ฆ่าเด็กชาย 140 คน และได้รับโทษจำคุก 835 ปีในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 189 คน
เมื่อถูกถามว่าทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? คำตอบของเขาก็คือ “ผมรู้สึกมีความสุขแม้ว่าผมจะฆ่าคนก็ตาม”
‘เปโดร โลเปซ’ สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส / 300 ศพ

‘เปโดร โลเปซ’ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘The Monster of the Andes’ ฆาตกรต่อเนื่องข่มขืนเด็ก และผู้ลี้ภัยชาวโคลอมเบีย ผู้ซึ่งสังหารเหยื่ออย่างน้อย 110 ราย ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวและเด็กหญิง ระหว่างปี 1969-1980 และอ้างว่าได้สังหารเหยื่อกว่า 300 รายทั่วโคลอมเบีย เปรู และเอกวาดอร์
มีรายงานว่าในวัยเด็กเขาอยู่กับแม่ซึ่งเป็นโสเภณีกับลูกอีก 13 คน เมื่อเขาอายุ 8 ขวบก็ถูกไล่ออกจากบ้าน และถูกชายคนหนึ่งพาตัวไปที่บ้านร้างและมีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง ตอนอายุ 12 ปีเขาก็ถูกครอบครัวชาวอเมริกันพาตัวไปเข้าโรงเรียนเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่วายถูกครูชายลวนลาม ตั้งแต่นั้นมาโลเปซจึงสาบานว่าเขาจะทำกับเด็กผู้หญิงอย่างที่เขาเคยโดนกระทำ
ในช่วงทศวรรษ 1970 เขากลายเป็นผู้ล่าข้ามชาติ ตระเวนไปทั่วโคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเปรูเพื่อค้นหาเด็กหญิงวัยก่อนเจริญพันธุ์ โดยเริ่มออกล่าเด็กสาวในเปรู และสังหารพวกเธอไปมากกว่า 100 ศพ จากนั้นเขาก็ถูกจับโดยชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งกำลังเตรียมจะประหารชีวิตเขา แต่มิชชันนารีชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซงและเกลี้ยกล่อมให้ส่งตัวเขาให้กับตำรวจของรัฐ และไม่นานตำรวจก็ปล่อยตัวเขา
จากนั้นเขาก็ย้ายไปโคลอมเบียและเอกวาดอร์ และฆ่าผู้หญิงประมาณ 3 คนต่อสัปดาห์ โลเปซกล่าวในภายหลังว่า “ผมชอบผู้หญิงในเอกวาดอร์ พวกเธออ่อนโยนและไว้ใจได้มากกว่า ไร้เดียงสามากกว่า” ก่อนหน้านี้ทางการเชื่อว่าการหายตัวไปของเด็กผู้หญิงจำนวนมากเกิดจากการเป็นทาสทางเพศหรือการค้าประเวณี
ในปี 1981 โลเปซมีความผิดในคดีฆาตกรรม 57 คดี 110 ศพ และเขาสารภาพว่าได้ฆาตกรรมเด็กสาวที่หายไปอีก 240 คนในเปรูและโคลอมเบียด้วย แต่ทว่าเนื่องจากกฎหมายของเอกวาดอร์ไม่เข้มงวดในเวลานั้น ทำให้เขาได้รับโทษจำคุกเพียง 16 ปี ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อสาธารณชนอย่างมาก จนในที่สุดเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากจำคุกได้เพียง 14 ปีเท่านั้น และถูกส่งตัวกลับโคลอมเบีย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทางการพยายามดำเนินคดีเขาในข้อหาฆาตกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เขากลับถูกประกาศว่าเป็นบุคคลวิกลจริตและใช้เวลาหลายปีในสถานบำบัดจิตในโคลอมเบียก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในปี 1998 หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ็ไม่เคยมีใครได้ยินหรือเห็นเขาอีกเลยและจนถึงปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าโลเปซตายหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่
มีรายงานว่าในวัยเด็กเขาอยู่กับแม่ซึ่งเป็นโสเภณีกับลูกอีก 13 คน เมื่อเขาอายุ 8 ขวบก็ถูกไล่ออกจากบ้าน และถูกชายคนหนึ่งพาตัวไปที่บ้านร้างและมีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง ตอนอายุ 12 ปีเขาก็ถูกครอบครัวชาวอเมริกันพาตัวไปเข้าโรงเรียนเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่วายถูกครูชายลวนลาม ตั้งแต่นั้นมาโลเปซจึงสาบานว่าเขาจะทำกับเด็กผู้หญิงอย่างที่เขาเคยโดนกระทำ
ในช่วงทศวรรษ 1970 เขากลายเป็นผู้ล่าข้ามชาติ ตระเวนไปทั่วโคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเปรูเพื่อค้นหาเด็กหญิงวัยก่อนเจริญพันธุ์ โดยเริ่มออกล่าเด็กสาวในเปรู และสังหารพวกเธอไปมากกว่า 100 ศพ จากนั้นเขาก็ถูกจับโดยชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งกำลังเตรียมจะประหารชีวิตเขา แต่มิชชันนารีชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซงและเกลี้ยกล่อมให้ส่งตัวเขาให้กับตำรวจของรัฐ และไม่นานตำรวจก็ปล่อยตัวเขา
จากนั้นเขาก็ย้ายไปโคลอมเบียและเอกวาดอร์ และฆ่าผู้หญิงประมาณ 3 คนต่อสัปดาห์ โลเปซกล่าวในภายหลังว่า “ผมชอบผู้หญิงในเอกวาดอร์ พวกเธออ่อนโยนและไว้ใจได้มากกว่า ไร้เดียงสามากกว่า” ก่อนหน้านี้ทางการเชื่อว่าการหายตัวไปของเด็กผู้หญิงจำนวนมากเกิดจากการเป็นทาสทางเพศหรือการค้าประเวณี
ในปี 1981 โลเปซมีความผิดในคดีฆาตกรรม 57 คดี 110 ศพ และเขาสารภาพว่าได้ฆาตกรรมเด็กสาวที่หายไปอีก 240 คนในเปรูและโคลอมเบียด้วย แต่ทว่าเนื่องจากกฎหมายของเอกวาดอร์ไม่เข้มงวดในเวลานั้น ทำให้เขาได้รับโทษจำคุกเพียง 16 ปี ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อสาธารณชนอย่างมาก จนในที่สุดเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากจำคุกได้เพียง 14 ปีเท่านั้น และถูกส่งตัวกลับโคลอมเบีย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทางการพยายามดำเนินคดีเขาในข้อหาฆาตกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เขากลับถูกประกาศว่าเป็นบุคคลวิกลจริตและใช้เวลาหลายปีในสถานบำบัดจิตในโคลอมเบียก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในปี 1998 หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ็ไม่เคยมีใครได้ยินหรือเห็นเขาอีกเลยและจนถึงปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าโลเปซตายหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่