เปิดตำนาน ‘ฆาตกรต่อเนื่อง’ ที่โหดที่สุดในโลก!

28 เม.ย. 2566 - 03:21

  • เปิดโฉมหน้า ‘ฆาตกรต่อเนื่อง’ ที่โหดที่สุดในโลก!

  • ฆาตกรพวกนี้ทำไปทำไม? มีแรงจูงใจอะไรที่ชักนำพวกเขานำพาชีวิตดิ่งเหวนรกเช่นนี้?

Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Thumbnail

ฆาตกรต่อเนื่อง คือ คนที่ฆ่าคนอย่างน้อย 2 คนในเหตุการณ์ที่แยกจากกันซึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน แตกต่างจากการฆาตกรรมหมู่ตรงที่เหยื่อหลายคนถูกสังหารในเวลาและสถานที่เดียวกัน

นอกจาก ‘ซีอุย แซ่อึ้ง’ ที่หลายคนกล่าวหาว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องคดีดังแล้ว และล่าสุดกับกระแสข่าวครึกโครมกับฆาตกรต่อเนื่องหญิงภรรยาตำรวจที่ลอบวางยาไซยาไนด์สังหารเหยื่อมาแล้วกว่า 10 ศพด้วยกัน โดย 2 ใน 10 ศพยังเป็นถึงสารวัตรหญิงอีกต่างหาก พฤติกรรมนี้กำลังสร้างความฉงนและตำรวจกำลังเร่งสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาแรงจูงใจอยู่ในขณะนี้    ที่ผ่านมาชาวโลกต้องอกสั่นขวัญผวากับเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องมานับครั้งไม่ถ้วน จนมีการบันทึกโฉมหน้า ‘ฆาตกรต่อเนื่องที่โหดที่สุดในโลก’ มาดูกันว่ามีใครบ้าง? พวกเขาโหดร้ายแค่ไหน? เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต้องสังเวยไปกี่ศพ? และแรงจูงใจคืออะไร? 

‘แกรี ริดจ์เวย์’ นักฆ่าแห่งกรีนริเวอร์ / 48 ศพ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3XQE1xVIUdu7IURWcE5MLd/db3e7d9ec2eab55c7116bde9c25eae78/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo01
Photo: ELAINE THOMPSON / AP POOL / AFP
‘แกรี ริดจ์เวย์’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Green River Killer’ ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกันผู้ล่วงละเมิดทางเพศที่กลายเป็นคดีดังในช่วงปี 1980 และ 1990 ซึ่งริดจ์เวย์ยอมรับว่าเขาเป็นผู้ลงมือฆ่าต่อเนื่องเองและเชื่อมโยงกับการตายของหญิงสาว 48 คน โดยส่วนใหญ่ถูกรัดคอตายบริเวณเมืองซีแอตเทิลและทาโคมา รัฐวอชิงตัน 

ฆาตกรรายนี้หนีรอดมาได้ตลอดเกือบ 20 ปีกว่าจะถูกจับได้และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาก่อคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่ระหว่างปี 1982-1984 ในช่วงเวลานั้น ศพของเหยื่อหลายคนถูกพบใกล้กับกรีนริเวอร์ในวอชิงตัน ริดจ์เวย์จึงได้รับสมญานามว่าเป็น ‘นักฆ่าแห่งกรีนริเวอร์’ 

ทั้งนี้ พบว่าเหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ดังนั้นตำรวจจึงสามารถระบุลักษณะทั่วไปที่ฆาตกรมองหาและใช้ข้อมูลนั้นในการสืบสวน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/xdEzaqZCuqgruqJ1jeKa7/1f2624575bb5be85560a6b3ef30e0f05/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo02
Photo: ELAINE THOMPSON / POOL / AFP
ในปี 1982 เขาถูกจับในข้อหาค้าประเวณีและเป็นผู้ต้องสงสัยในการสังหาร แต่หลังจากผ่านการทดสอบเครื่องจับเท็จซึ่งเขาอ้างว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาก็ได้รับการปล่อยตัว ่ทว่าสมาชิกของหน่วยเฉพาะกิจยังคงสงสัยและเก็บตัวอย่างเส้นผมและน้ำลายของเขาเอาไว้ 

หลังจากปี 1984 การฆาตกรรมดูเหมือนจะหยุดลง แต่การค้นหาฆาตกรยังคงดำเนินต่อไป จวบจนกระทั่งในปี 2001 ที่นักวิจัยได้หลักฐาน DNA ของฆาตกร และนำไปเปรียบเทียบกับเส้นผมของริดจ์เวย์ จึงทำให้เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2001 หลังจากเชื่อมโยงกับการฆาตกรรมผู้หญิง 4 คน 

ในระหว่างการพิจารณาคดีในปี 2003 ริดจ์เวย์สารภาพว่าเขาได้ฆาตกรรมผู้หญิง 48 คน และการอีกฆาตกรรม 71 คดี แต่คาดว่ามีเอี่ยวมากถึง 90 คดี อย่างไรก็ดี เขาตกลงที่จะช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นหาซากศพของเหยื่อที่ยังไม่ถูกค้นพบเพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิต  

ริดจ์เวย์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขาถูกขังอยู่ที่เรือนจำชาย Washington State Penitentiary และไม่มีความหวังในการรอลงอาญา 

‘จาเว็ด อิกบาล’ ฆาตกรโหดหั่นศพ / 100 ศพ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7dZry4HXO4IQPhC8JAtzdI/8a6f66cca6d4761592b666bd3c6b7d64/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo03
Photo: Arif ALI / AFP
ฆาตกรต่อเนื่องชาวปากีสถาน100 คนที่อายุตั้งแต่ 6-16 ปีด้วยการรัดคอเหยื่อ แยกชิ้นส่วนศพและละลายในน้ำกรดเพื่อปกปิดหลักฐาน 

คดีของเขาดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ ไม่เพียงแต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เพราะการตัดสินของเขาทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในลักษณะที่คล้ายกับการทรมานและสังหารเหยื่อของเขาด้วย 

ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของอิกบาล แม้ว่าจะมีการร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมทางเพศต่อเขาในปี 1985 และ 1990 แต่เขาก็ไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาใดๆ  

ในเวลาต่อมาอิกบาลต้องยอมจำนนต่อทางการปากีสถานในปี 1999 หลังจากสารภาพว่าทำการฆาตกรรม 100 ครั้งในช่วงเวลา 6 เดือน โดยเขาสารภาพว่าได้ล่อลวงเด็กชายเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขอทานและเด็กเร่ร่อนอายุระหว่าง 6-16 ปีมาที่บ้านของเขาในเมืองละฮอร์ จากนั้นอิกบาลก็ข่มขืนพวกเขา บีบคอจนตาย พร้อมทั้งแยกชิ้นส่วนของร่างกาย และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทิ้งในถังกรด  

แม้ว่าภายหลังเขาจะปฏิเสธความผิด แต่อิกบาลก็ถูกตัดสินประหารชีวิต 100 ครั้ง โดยศาลสั่งประหารชีวิตเขาด้วยโซ่เส้นเดียวกับที่เขาใช้รัดคอเหยื่อ และให้หั่นศพออกเป็น 100 ชิ้นแล้วละลายในน้ำกรด อย่างไรก็ตาม ก่อนการประหารชีวิตจะเกิดขึ้น อิกบาลและผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดเช่นกันถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังของตัวเอง แม้จะมีข้อบ่งชี้ถึงการเล่นที่ผิดกติกา แต่การเสียชีวิตของพวกเขาก็ถูกตัดสินอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆ่าตัวตาย 

‘ฮาโรลด์ ชิปแมน’ ฆาตกรในคราบหมอ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4sypnw1kIKQK4NQFzaQAWf/6c0921cbc42577383d2f8e2fb878c3c7/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo04
Photo: PRESS ASSOCIATION FILES / AFP
‘ฮาโรลด์ ชิปแมน’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เฟร็ด ชิปแมน’ แพทย์ทั่วไปชาวอังกฤษที่เชื่อถือได้และเป็นที่นับถือซึ่งรักษาผู้ป่วยมากกว่า  3,000 รายในอาชีพของเขา แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ธรรมดาๆ นั้น เขากลับเป็นคนติดยาและมีความผิดหลายอย่าง ทั้งยังเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยมีเหยื่อประมาณ 250 คน 

ชิปแมนเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในแมนเชสเตอร์ เขาเป็นเด็กที่สดใส และเริ่มสนใจเรื่องยาเมื่อเห็นแม่ของเขาได้รับการฉีดมอร์ฟีนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดขณะที่เธอกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งปอด 

ในปี 1970 เขาได้รับปริญญาแพทย์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ และไม่กี่ปีต่อมาเขาก็กลายเป็นแพทย์ทั่วไปในเมืองท็อดมอร์เดนในเขตเทศมณฑลแลงคาสเชอร์ ต่อมาในปี 1975 ก็พบว่าชิปแมนได้เขียนใบสั่งยาปลอมหลายรายการสำหรับยาระงับปวดออกฤทธิ์เร็ว (opiate pethidine) และนั่นทำให้เขาติดยา และถูกบังคับให้เข้ารับการบำบัดยาเสพติด 

ในปี 1977 ชิปแมนกลับมาเป็นแพทย์ทั่วไปและได้รับการยอมรับอีกครั้งในเมืองไฮด์ในเขต Greater Manchester แต่ไม่มีใครรู้ว่าการสังหารผู้ป่วยของเขาเริ่มขึ้นเมื่อใด และการสังหารก็ทวีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ เหยื่อส่วนใหญ่ของเขามักเป็นผู้หญิง โดยที่ชิปแมนจะคอยฉีดยาไดอามอร์ฟีนให้กับผู้ป่วยหญิงชราตามบ้าน การพบศพส่วนมากจึงถูกพบว่าเหยื่อนั่งในห้องนั่งเล่นราวกับว่าพวกเขาเสียชีวิตอย่างสงบด้วยสาเหตุธรรมชาติ   

หลังจากทางการเริ่มสงสัยและขุดศพขึ้นมาเพื่อสืบสวน ก็ทำให้ชิปแมนถูกจับกุมในปี 1998 แต่ 2 ปีต่อมา ศาลอังกฤษตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆาตกรรม 15 ศพ ทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้การสืบสวนในภายหลังยังเชื่อมโยงไปถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดอีกกว่า 215 รายด้วย 

ท้ายที่สุดเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในห้องขังด้วยการแขวนคอตาย ทั้งนี้มีการตีความไปต่างๆ นานาว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาลงมือฆ่าคน บ้างก็บอกว่าอาจเพราะเขาได้เห็นความทุกข์ทรมานของแม่ของเขาหรือไม่ หรือเขาอาจเชื่อว่าการเสียชีวิตด้วยเข็มฉีดยาของแพทย์ที่เชื่อถือได้นั้นเป็นมิตรเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หรือเขาเกลียดผู้หญิง? (คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) เขาเป็นคนวิกลจริตหรือไม่?  

ทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? มันยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ “เขาทำเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาบางอย่างภายในตัวเขาเอง...เพื่อกำจัดความวิตกกังวล แต่เป็นความวิตกกังวลที่เขาอาจไม่ได้คิดไปเอง” ดร.ริชาร์ด แบดค็อก นักนิติจิตวิทยากล่าว

‘ลุยส์ การาบิโต’ เดรัจฉานในร่างมนุษย์ / 189 ศพ

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3cW2K189zUhOm1Bx11GsEg/9ab4a67a6260dc76d47f312cde392d44/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo05
Photo: AFP
ฆาตกรต่อเนื่องชาวโคลอมเบีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘La Bestia’ หรือ ‘Tribilin / The Beast’ ในเดือนตุลาคมปี 1999 เขาสารภาพว่าลงมือข่มขืน ทรมาน ทำร้ายร่างกาย และสังหารผู้เยาว์ 189 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและเด็กชายในภูมิภาคโคลอมเบียตะวันตก 

การาบิโตถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าเด็กชาย 189 คนในปี 1990 โดยเหยื่อของการาวิโตหลายคนอาศัยอยู่ในย่านยากจน ทำให้ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าการหายตัวไปของเหยื่อนั้นถูกเพิกเฉยหรือมองข้ามไป  

อย่างไรก็ดี เขาเข้าหาเหยื่อด้วยการปลอมตัวเป็นขอทาน หรือคนพิการ บางครั้งก็สวมรอยเป็นพระ์หรือเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิการกุศลเพื่อสะกดรอยตามเด็กๆ ที่ยากไร้ และหลอกล่อเด็กชายด้วยการสัญญาว่าจะให้เงินหรือเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ล่วงละเมิดทางเพศและเชือดคอเหยื่อทิ้ง 

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 มีรายงานว่าพบ เด็กชายชาวโคลอมเบียหลายคนซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 8-16 ปี สูญหายหรือถูกพบเป็นศพ ร่างกายของพวกเขาขาดวิ่นอย่างไร้ความปรานี และมีร่องรอยของการถูกทำร้ายทางเพศ  

ตำรวจออกหมายจับการาบิโตครั้งแรกในปี 1996 ข้อหาฆาตกรรมเด็ก แต่เขาสามารถหลบหนีมาได้หลายปี กระทั่งในปี 1999 การาบิโตซึ่งขณะนั้นเป็นคนพเนจรและมีอาการป่วยทางจิตมาอย่างยาวนานก็ถูกจับในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหนุ่ม โดยเขาสารภาพว่าได้ฆ่าเด็กชาย 140 คน และได้รับโทษจำคุก 835 ปีในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 189 คน  

เมื่อถูกถามว่าทำไมเขาถึงฆ่าคนจำนวนมาก? คำตอบของเขาก็คือ “ผมรู้สึกมีความสุขแม้ว่าผมจะฆ่าคนก็ตาม” 

‘เปโดร โลเปซ’ สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส / 300 ศพ 

https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4WO8dHVxWfy8TxoCPdbHsc/d581dd91b9d8d5fe527be2042636eb26/Worlds-Worst-Serial-Killers-SPACEBAR-Photo06
Photo: Murderpedia
‘เปโดร โลเปซ’ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘The Monster of the Andes’ ฆาตกรต่อเนื่องข่มขืนเด็ก และผู้ลี้ภัยชาวโคลอมเบีย ผู้ซึ่งสังหารเหยื่ออย่างน้อย 110 ราย ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวและเด็กหญิง ระหว่างปี 1969-1980 และอ้างว่าได้สังหารเหยื่อกว่า 300 รายทั่วโคลอมเบีย เปรู และเอกวาดอร์ 

มีรายงานว่าในวัยเด็กเขาอยู่กับแม่ซึ่งเป็นโสเภณีกับลูกอีก 13 คน เมื่อเขาอายุ 8 ขวบก็ถูกไล่ออกจากบ้าน และถูกชายคนหนึ่งพาตัวไปที่บ้านร้างและมีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง ตอนอายุ 12 ปีเขาก็ถูกครอบครัวชาวอเมริกันพาตัวไปเข้าโรงเรียนเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่วายถูกครูชายลวนลาม ตั้งแต่นั้นมาโลเปซจึงสาบานว่าเขาจะทำกับเด็กผู้หญิงอย่างที่เขาเคยโดนกระทำ 

ในช่วงทศวรรษ 1970 เขากลายเป็นผู้ล่าข้ามชาติ ตระเวนไปทั่วโคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเปรูเพื่อค้นหาเด็กหญิงวัยก่อนเจริญพันธุ์ โดยเริ่มออกล่าเด็กสาวในเปรู และสังหารพวกเธอไปมากกว่า 100 ศพ จากนั้นเขาก็ถูกจับโดยชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งกำลังเตรียมจะประหารชีวิตเขา แต่มิชชันนารีชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซงและเกลี้ยกล่อมให้ส่งตัวเขาให้กับตำรวจของรัฐ และไม่นานตำรวจก็ปล่อยตัวเขา  

จากนั้นเขาก็ย้ายไปโคลอมเบียและเอกวาดอร์ และฆ่าผู้หญิงประมาณ 3 คนต่อสัปดาห์ โลเปซกล่าวในภายหลังว่า “ผมชอบผู้หญิงในเอกวาดอร์ พวกเธออ่อนโยนและไว้ใจได้มากกว่า ไร้เดียงสามากกว่า” ก่อนหน้านี้ทางการเชื่อว่าการหายตัวไปของเด็กผู้หญิงจำนวนมากเกิดจากการเป็นทาสทางเพศหรือการค้าประเวณี 

ในปี 1981 โลเปซมีความผิดในคดีฆาตกรรม 57 คดี 110 ศพ และเขาสารภาพว่าได้ฆาตกรรมเด็กสาวที่หายไปอีก 240 คนในเปรูและโคลอมเบียด้วย แต่ทว่าเนื่องจากกฎหมายของเอกวาดอร์ไม่เข้มงวดในเวลานั้น ทำให้เขาได้รับโทษจำคุกเพียง 16 ปี ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อสาธารณชนอย่างมาก จนในที่สุดเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากจำคุกได้เพียง 14 ปีเท่านั้น และถูกส่งตัวกลับโคลอมเบีย 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทางการพยายามดำเนินคดีเขาในข้อหาฆาตกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เขากลับถูกประกาศว่าเป็นบุคคลวิกลจริตและใช้เวลาหลายปีในสถานบำบัดจิตในโคลอมเบียก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในปี 1998 หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ็ไม่เคยมีใครได้ยินหรือเห็นเขาอีกเลยและจนถึงปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าโลเปซตายหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่ 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์