สำนักข่าว Reuters รายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ พบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการเจรจาระดับผู้นำครั้งแรกระหว่างทั้ง 2 ประเทศในรอบเกือบ 3 ปี เมื่อวันพฤหัสบดี (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา
คิชิดะ กล่าวว่า “เขากังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในภูมิภาคท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในเอเชียและประเด็นความเคลื่อนไหวกองกำลังทางทะเลของจีน”
สี จิ้นผิงกล่าวเป็นนัยถึงประเด็นนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “ในประเด็นข้อพิพาททางทะเลและดินแดน เราควรปฏิบัติตามฉันทามติของหลักการที่ได้บรรลุไปแล้ว และแสดงภูมิปัญญาทางการเมืองและความมุ่งมั่นในการจัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม”
สถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนอ้างคำพูดของสี ที่กล่าวกับคิชิดะว่า “จีนและญี่ปุ่นควรเพิ่มความไว้วางใจ ขอบเขตความร่วมมือ และการบูรณาการในภูมิภาคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อต้านความขัดแย้งและการเผชิญหน้า”
“ผมย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวัน” คิชิดะกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุม โดยไม่ได้บอกว่าจีนจะตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาอย่างไร
“ผมได้แจ้งข้อกังวลอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออก รวมถึงหมู่เกาะเซ็นกากุ ตลอดจนการแสดงออกทางทหารของจีน เช่น การยิงขีปนาวุธ” คิชิดะกล่าวเสริม
คิชิดะ ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า เขาตกลงกับสีในการเปิดช่องทางการสื่อสารทางการทูตอีกครั้ง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นจะเดินทางเยือนจีนในอนาคตอันใกล้นี้
ตามรายงานของ CCTV สี กล่าวกับคิชิดะว่า “ปัญหาของไต้หวันจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมและโดยสุจริต เนื่องจากประเด็นนี้กระทบกับรากฐานทางการเมืองและความไว้วางใจขั้นพื้นฐานของความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น”
จากนั้น สีกล่าวต่ออีกว่า “จีนไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และไม่ยอมรับใครก็ตามที่แทรกแซงกิจการภายในของจีนภายใต้ข้ออ้างใดๆ ด้วยเช่นกัน”
ด้านกระทรวงต่างประเทศไต้หวันได้ออกมาแสดงขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความกังวล โดยกล่าวว่า “ยินดีเสมอที่ประชาคมระหว่างประเทศให้ความสนใจต่อสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันและการยอมรับมาตรการเชิงบวกที่จะช่วยรักษาสันติภาพในภูมิภาค”
รูมิ อาโอยามะ ศาสตราจารย์ด้านนโยบายต่างประเทศของจีนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ กล่าวว่า “การจัดการเจรจาเป็นความสำเร็จที่สำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศของสี และยังบ่งชี้ถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ของจีนกับญี่ปุ่นในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังต่อสู้กับนโยบาย Zero-Covid”
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตารางการประชุมทวิภาคีที่แน่นขนัดของสี ตั้งแต่การประชุมสุดยอด G20 ในอินโดนีเซียซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันพุธ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา ตลอดจนการประชุมสุดยอด APEC โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงผลักดันจากความต้องการที่จะถ่วงดุลอิทธิพลทั่วโลกของสหรัฐฯ ที่มีต่อพันธมิตรรวมถึงญี่ปุ่นด้วย
ก่อนหน้านี้ คิชิดะได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่จัดขึ้นในกัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยวิจารณ์จีนอย่างเปิดเผยว่า “ละเมิด” อธิปไตยของญี่ปุ่นในทะเลจีนตะวันออก
ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นเหนือไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งอ้างว่าเป็นดินแดนของตน จีนไม่เคยละทิ้งการใช้กำลังเพื่อควบคุมไต้หวัน และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายังจัดฉากซ้อมรบใกล้น่านน้ำไต้หวันอีกด้วย
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ยื่นคำร้องทางการทูตในเดือนสิงหาคม หลังจากที่มีขีปนาวุธ 5 ลูกของกองทัพจีนยิงตกลงไปในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ใกล้กับหมู่เกาะเซ็นกากุในเขตญี่ปุ่น หรือหมู่เกาะเตี้ยวหยูในเขตทะเลจีนตะวันออก
คิชิดะ กล่าวว่า “เขากังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในภูมิภาคท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในเอเชียและประเด็นความเคลื่อนไหวกองกำลังทางทะเลของจีน”
สี จิ้นผิงกล่าวเป็นนัยถึงประเด็นนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “ในประเด็นข้อพิพาททางทะเลและดินแดน เราควรปฏิบัติตามฉันทามติของหลักการที่ได้บรรลุไปแล้ว และแสดงภูมิปัญญาทางการเมืองและความมุ่งมั่นในการจัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม”
สถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนอ้างคำพูดของสี ที่กล่าวกับคิชิดะว่า “จีนและญี่ปุ่นควรเพิ่มความไว้วางใจ ขอบเขตความร่วมมือ และการบูรณาการในภูมิภาคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อต้านความขัดแย้งและการเผชิญหน้า”
“ผมย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวัน” คิชิดะกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุม โดยไม่ได้บอกว่าจีนจะตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาอย่างไร
“ผมได้แจ้งข้อกังวลอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออก รวมถึงหมู่เกาะเซ็นกากุ ตลอดจนการแสดงออกทางทหารของจีน เช่น การยิงขีปนาวุธ” คิชิดะกล่าวเสริม
คิชิดะ ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า เขาตกลงกับสีในการเปิดช่องทางการสื่อสารทางการทูตอีกครั้ง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นจะเดินทางเยือนจีนในอนาคตอันใกล้นี้
ตามรายงานของ CCTV สี กล่าวกับคิชิดะว่า “ปัญหาของไต้หวันจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมและโดยสุจริต เนื่องจากประเด็นนี้กระทบกับรากฐานทางการเมืองและความไว้วางใจขั้นพื้นฐานของความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น”
จากนั้น สีกล่าวต่ออีกว่า “จีนไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และไม่ยอมรับใครก็ตามที่แทรกแซงกิจการภายในของจีนภายใต้ข้ออ้างใดๆ ด้วยเช่นกัน”
ด้านกระทรวงต่างประเทศไต้หวันได้ออกมาแสดงขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความกังวล โดยกล่าวว่า “ยินดีเสมอที่ประชาคมระหว่างประเทศให้ความสนใจต่อสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันและการยอมรับมาตรการเชิงบวกที่จะช่วยรักษาสันติภาพในภูมิภาค”
รูมิ อาโอยามะ ศาสตราจารย์ด้านนโยบายต่างประเทศของจีนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ กล่าวว่า “การจัดการเจรจาเป็นความสำเร็จที่สำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศของสี และยังบ่งชี้ถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ของจีนกับญี่ปุ่นในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังต่อสู้กับนโยบาย Zero-Covid”
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตารางการประชุมทวิภาคีที่แน่นขนัดของสี ตั้งแต่การประชุมสุดยอด G20 ในอินโดนีเซียซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันพุธ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา ตลอดจนการประชุมสุดยอด APEC โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงผลักดันจากความต้องการที่จะถ่วงดุลอิทธิพลทั่วโลกของสหรัฐฯ ที่มีต่อพันธมิตรรวมถึงญี่ปุ่นด้วย
ก่อนหน้านี้ คิชิดะได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่จัดขึ้นในกัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยวิจารณ์จีนอย่างเปิดเผยว่า “ละเมิด” อธิปไตยของญี่ปุ่นในทะเลจีนตะวันออก
ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นเหนือไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งอ้างว่าเป็นดินแดนของตน จีนไม่เคยละทิ้งการใช้กำลังเพื่อควบคุมไต้หวัน และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายังจัดฉากซ้อมรบใกล้น่านน้ำไต้หวันอีกด้วย
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ยื่นคำร้องทางการทูตในเดือนสิงหาคม หลังจากที่มีขีปนาวุธ 5 ลูกของกองทัพจีนยิงตกลงไปในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ใกล้กับหมู่เกาะเซ็นกากุในเขตญี่ปุ่น หรือหมู่เกาะเตี้ยวหยูในเขตทะเลจีนตะวันออก