ผู้ใช้ระบบแอนดรอยด์ในสิงคโปร์จะถูก ‘บล็อก’ ไม่ให้ติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ได้รับการยืนยัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า **‘ไซด์โหลด’ (**การติดตั้งแอปฯ นอกสโตร์ทางการ / sideloading) และเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองใหม่โดย Google เพื่อปราบปรามการหลอกลวง ‘มัลแวร์’
เครื่องมือรักษาความปลอดภัยจะทำงานเพื่อตรวจจับแอปฯ น่าสงสัย เช่น แอปฯ ที่มีความสามารถในการสอดแนมเนื้อหาบนหน้าจอหรืออ่านข้อความ SMS ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านักต้มตุ๋นมักใช้วิธีนี้ละเมิดเพื่อสกัดกั้นรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว
‘สิงคโปร์’ กลายเป็นประเทศแรกที่จะเริ่มทยอยเปิดตัวฟีเจอร์ความปลอดภัยในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (Cyber Security Agency) ของสิงคโปร์
‘ยูจีน ลิเดอร์แมน’ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความปลอดภัยของแอนดรอยด์ของ Google กล่าวว่า “การอัปเดตจะมาถึงอุปกรณ์ของผู้ใช้แอนดรอยด์ทุกคนอย่างต่อเนื่อง และจะเปิดใช้งานตามค่าเริ่มต้นผ่าน Google Play Protect” ผู้ใช้ที่ถูกบล็อกไม่ให้ดาวน์โหลดแอปฯ ที่น่าสงสัยจะได้รับแจ้งพร้อมคำอธิบาย
“ผู้ใช้ไม่สามารถปิดใช้งานฟีเจอร์นำร่องได้หากไม่ปิดใช้งาน Google Play Protect ทั้งหมด” ลิเดอร์แมนบอกพร้อมเสริมว่า “ไม่แนะนำให้ปิดใช้งานโปรแกรมซึ่งจะสแกนอุปกรณ์แอนดรอยด์เพื่อหากิจกรรมที่เป็นอันตราย เช่น แอปฯ น่าสงสัยเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้…เราได้ออกแบบโปรแกรมนำร่องด้วยวิธีนี้ เนื่องจากนักต้มตุ๋นมักจะใช้การหลอกลวงแบบวิศวกรรมสังคม / การหลอกลวงแฮกเกอร์ (social engineering) เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ปิดการใช้งานคำเตือนการป้องกันแอปฯ มือถือ เมื่อทำการหลอกลวงหรือขโมยข้อมูลจากเหยื่อ”
ลิเดอร์แมนยังบอกอีกว่า “เนื่องจากคดีฉ้อโกงทางการเงินมีจำนวนเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา และการใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์อย่างแพร่หลายในสิงคโปร์ ฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ได้รับการปรับปรุงนี้จะช่วยปกป้องผู้ใช้มือถือจำนวนมาก”
“การอัปเดตซึ่งจะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติซึ่งจะเผยแพร่ไปยังอุปกรณ์แอนดรอยด์ทั้งหมดที่มีบริการ Google Play โปรแกรมรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งไว้ในอุปกรณ์แอนดรอยด์ที่จะคอยสแกนหาแอปฯ ที่อาจเป็นอันตราย…โดยจะเริ่มจากกลุ่มผู้ใช้จำนวนไม่มากก่อนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของเครื่องมือดังกล่าว” ลิเดอร์แมนกล่าว
ตำรวจสิงคโปร์ระบุว่า “ชาวสิงคโปร์มากกว่า 1,400 รายตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจากแก๊งสแกมเมอร์ ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมอย่างน้อย 20.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 717 ล้านบาท)”
