ฝันสลาย! อนาคตเรียนต่อสหรัฐฯ ของนักศึกษาเอเชียแขวนบนเส้นด้าย

3 มิ.ย. 2568 - 03:01

  • รัฐบาลทรัมป์ประกาศมาตรการจำกัดนักศึกษาต่างชาติ 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันคือ ห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติ และระงับกระบวนการออกวีซ่าใหม่สำหรับนักศึกษาต่างชาติ

  • นักศึกษาและผู้ปกครองต่างก็กังวลเกี่ยวกับอนาคตการศึกษาต่อในสหรัฐฯ

  • มหาวิทยาลัยในเอเชียหลายแห่งพร้อมอ้าแขนรับนักศึกษาต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐฯ

ฝันสลาย! อนาคตเรียนต่อสหรัฐฯ  ของนักศึกษาเอเชียแขวนบนเส้นด้าย

นักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชียต่างก็กำลังใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กับอนาคตการเรียนต่อในสหรัฐฯ ของตัวเอง หลังจากรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการจำกัดนักศึกษาต่างชาติออกมา 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน

 

หนึ่งคือ ห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติ โดยอ้างว่าฮาร์วาร์ดต้องรับผิดชอบ “ในการส่งเสริมความรุนแรง การต่อต้านชาวยิว และการประสานงานกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในมหาวิทยาลัย”

 

อีกหนึ่งคือ  ระงับกระบวนการออกวีซ่าใหม่สำหรับนักศึกษาต่างชาติ เพื่อให้คัดกรองโซเชียลมีเดียและกิจกรรมการประท้วงของผู้สมัครได้เข้มงวดยิ่งขึ้น

 

สมาคมที่มุ่งเน้นด้านการศึกษาระดับนานาชาติ NAFSA Association of International Educators ถึงกับระบุว่า “นักศึกษาต่างชาติถือเป็นกลุ่มผู้อพยพที่ถูกติดตามและตรวจสอบมากที่สุดในสหรัฐฯ”

 

แม้ว่าขณะนี้ศาลจะระงับคำสั่งดังกล่าวซึ่งกระทบกับนักศึกษาฮาร์วาร์ดราว 27% ไว้ชั่วคราวเพื่อรอการพิจารณา แต่ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลทรัมป์ก็ยังทำให้แผนการเรียนของนักศึกษาต่างชาติรวนไปหมด บางคนจำใจทิ้งใบสมัครแล้วไปเรียนประเทศอื่นแทน ส่วนคนที่ลงทะเบียนเรียนอยู่แล้วก็วิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตในมหาวิทยาลัย

 

เมื่อถูกสำนักข่าว The Straits Times สอบถาม ผู้ที่กำลังจะสมัครเรียนชาวเอเชียหลายรายขอไม่ความคิดเห็น เนื่องจาก “กลัวผลที่ตามมา” ซึ่งอาจส่งผลต่อสิทธิ์ในการขอวีซ่าของพวกเขา

 

เทพราช (ชื่อสมมติเพื่อปกป้องตัวตน) นักศึกษาชาวอินเดียที่ได้ทุนค่าเล่าเรียน 85% สำหรับศึกษาต่อระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเผยกับ The Straits Times ว่า “การระงับการออกวีซ่าอาจกินเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และสิ่งต่างๆ อาจไม่ได้รับการแก้ไขก่อนที่ชั้นเรียนของผมจะเริ่มในเดือนสิงหาคม”


เทพราชยังลังเลว่าเขาควรยืนยันการลงทะเบียนเรียนภายในสิ้นเดือนนี้ด้วยการจ่ายเงิน (ที่ไม่สามารถเรียกคืน) 1,000 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ สำหรับคนชั้นกลางแก่มหาวิทยาลัยหรือไม่ แต่มหาวิทยาลัยจะออกใบรับรอง I-20 ซึ่งต้องนำไปยื่นเพื่อขอวีซ่านักเรียนก็ต่อเมื่อเขาจ่ายเงินก้อนดังกล่าวแล้วเท่านั้น

 

‘นักศึกษาเอเชีย’ ประชากรราว 1 ใน 4 ของนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ

 

อินเดียแซงหน้าจีนกลายเป็นประเทศที่ส่งนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในสหรัฐฯ มากที่สุดที่ 331,602 คนในปีการศึกษา 2023-2024 ส่วนจีนขยับลงมาเป็นอันดับ 2 ที่ 277,398 คน เพียงสองประเทศนี้ก็มีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในสหรัฐฯ แล้ว

 

อันดับต่อมาคือ เกาหลีใต้มี 43,149 คน แคนาดา 28,998 คน ไต้หวัน 23,157 คน เวียดนาม 22,066 คน ส่วนนักศึกษาไทยมีอยู่ 7,314 คน

 

นักศึกษาจีนถามนี่คือจุดจบใช่ไหม?

 

นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ในจีนต่างก็สับสนและผิดหวัง

 

สถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนสอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า “ยังไม่ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง” และการดำเนินการเรื่องวีซ่าก็ดำเนินไปตามปกติ

 

สื่ออื่นๆ รายงานบนโซเชียลมีเดียของจีนว่า ไม่มีกำหนดเวลาว่างสำหรับผู้สัมภาษณ์วีซ่านักเรียนในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าเกิดจากคำสั่งล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือไม่

 

ที่ปรึกษาด้านการศึกษาระดับสูงในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับ Straits Times ว่า “ตั้งแต่เช้านี้ นักเรียนบุกเข้ามาในห้องทำงานของฉันและร้องตะโกนว่า ‘คุณครู นี่คือจุดจบของพวกเราใช่ไหม นโยบายนี้หมายถึงอะไร’”

 

ที่ปรึกษารายนี้เผยอีกว่า แม้ว่านักศึกษาจีนส่วนใหญ่จะชอบไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ มากกว่า แต่บางคนเลือกจะไปแคนาดาหรืออังกฤษแทนแล้ว

 

“คนที่ผ่านการคัดเลือกเฉพาะมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ทำได้เพียงรอข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น” เธอกล่าว


ผู้คนชูป้ายระหว่างการเดินขบวน “นักศึกษาฮาร์วาร์ดเพื่อความเสรี” เพื่อสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เมืองบอสตัน รัฐมาซาชูเสตส์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2025 หลังรัฐบาลประกาศตัดเงินสนุบสนุนมหาวิทยาลัย Photo by Rick Friedman / AFP
ผู้คนชูป้ายระหว่างการเดินขบวน “นักศึกษาฮาร์วาร์ดเพื่อความเสรี” เพื่อสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่เมืองบอสตัน รัฐมาซาชูเสตส์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2025 หลังรัฐบาลประกาศตัดเงินสนุบสนุนมหาวิทยาลัย Photo by Rick Friedman / AFP

 

ตรวจเข้มโซเชียลมีเดีย

 

ข่าวที่ว่าสหรัฐฯ จะตรวจสอบโซเชียลมีเดียอย่างเข้มงวดสร้างความกังวลในหมู่นักศึกษาที่กำลังจะเข้าเรียน รวมถึงครอบครัวของพวกเขา

 

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เผยท่าทีว่าจะตรวจสอบโซเชียลมีเดียตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากตำรวจจับกัม รูเมย์ซา ออซเติร์ก นักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยทัฟส์ จากบทความที่เธอเขียนเกี่ยวกับชาวกาซา เธอได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมาและอาจถูกเนรเทศ

 

ในขณะนั้นรูบิโอกล่าวว่า “หากคุณยื่นขอวีซ่าเพื่อเข้าสหรัฐฯ และเป็นนักเรียน และคุณบอกเราว่าเหตุผลที่คุณมาสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่เพราะคุณต้องการเขียนบทความวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ แต่เพราะคุณต้องการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งต่างๆ เช่น ทำลายมหาวิทยาลัย คุกคามนักเรียน ยึดอาคารเรียน สร้างความวุ่นวาย เราจะไม่ให้วีซ่าคุณ”

 

เอกสารลับทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่หลุดออกมา บรรยายถึงมาตรฐานใหม่สำหรับการปฏิเสธวีซ่าโดยอิงตามคำจำกัดความกว้างๆ ว่าสิ่งใดถือเป็นการสนับสนุน “กิจกรรมก่อการร้าย” และกำหนดให้ตรวจสอบโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของผู้สมัครทุกคนที่ต้องการวีซ่าประเภท F (นักเรียน) M (นักเรียนหลักสูตรวิชาชีพ) และ J (โครงการแลกเปลี่ยน) อย่างครอบคลุม

 

เจ้าหน้าที่ต้องถ่ายภาพหน้าจอของเนื้อหาที่ “วิพากษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสีย” ใดๆ ที่พบในระหว่างการตรวจสอบเหล่านี้ แม้ว่าเนื้อหาดังกล่าวจะถูกลบหรือแก้ไขในภายหลังก็ตาม โดยบันทึกเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในแฟ้มของผู้สมัคร และสามารถใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธวีซ่าได้

 

ด้วยความกังวล บริษัทที่ปรึกษาด้านการศึกษาต่อต่างประเทศในจีนแนะนำให้นักเรียนจีนลบ “เนื้อหาที่ละเอียดอ่อน” บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมถึงวลีเช่น “อ่าวเม็กซิโก” “LGBTQ” “ความหลากหลายทางเพศ” และ “การต่อต้านชาวยิว”

 

หลายประเทศพยายามช่วยนักศึกษา

 

ในกลุ่มชุมชนอินเทอร์เน็ตของเกาหลีที่มีสมาชิกกว่า 40,000 คนในชื่อ Jaws Mom ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อให้คำแนะนำฟรีแก่ผู้ปกครองที่ต้องการส่งลูกๆ ไปสหรัฐฯ คิมซองจุน ผู้ดูแลกลุ่มเผยว่า การระงับการสัมภาษณ์วีซ่าว่าเป็น “ข่าวที่น่าตกใจ” และแนะนำให้สมาชิกกลุ่มใจเย็นและรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เนื่องจากยังคงเหลือเวลาอีกกว่าสองเดือนก่อนที่ภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงในสหรัฐฯ จะเริ่มขึ้น รวมทั้งแนะนำให้งดวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และให้ลบความคิดเห็นดังกล่าวหากแสดงความคิดเห็นไปแล้ว

 

เช่นเดียวกับสถานทูตเกาหลีใต้ในสหรัฐฯ ที่สร้างเครือข่ายติดต่อฉุกเฉินสำหรับนักศึกษาต่างชาติ และจัดประชุมหลายครั้งเพื่ออัพเดสถานการณ์ วันที่ 22 ที่ผ่านมาสถานทูตโพสต์เตือนนักศึกษาต่างชาติที่อาศัยอยู่ด้วยวีซ่านักเรียนว่า “หากถูกจับได้ว่ามีส่วนร่วมในกิจกรรมผิดกฎหมาย อาจถือเป็นการละเมิดกฎหมายการย้ายถิ่นฐานอย่างร้ายแรง”

 

วันที่ 27 พฤษภาคม สถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียแจ้งทางการสหรัฐฯถึง “ความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบเชิงลบ” ของนโยบายดังกล่าวต่อนักศึกษาชาวอินโดนีเซียและนักศึกษาต่างชาติอื่นๆ ในสหรัฐฯ” และทางสถานทูตจะให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลแก่นักศึกษาอินโดนีเซียที่ได้รับผลกระทบ

 

สิโดรตุน นาอิม สมาชิกสมาคมศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดคลับในอินโดนีเซียเผยกับ Straits Times ว่า “นักศึกษาอินโดนีเซียในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีทางเลือก 2 ทางในการรับมือกับสถานการณ์นี้คือ พวกเขาสามารถย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นเพื่อรักษาสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ หรือกลับไปอินโดนีเซีย แต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน”

 

มหาวิทยาลัยในเอเชียพร้อมอ้าแขนรับ

 

กระทรวงการศึกษาของฮ่องกงขอให้มหาวิทยาลัยทั้งหมดในฮ่องกง “นำมาตรการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์มาใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของนักเรียนและนักวิชาการ” และดึงดูดผู้มีความสามารถสูงตามนโยบายการรับสมัครและการสรรหาที่หลากหลายของแต่ละสถาบัน

 

มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (HKUST) ได้เชิญชวนนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศให้ใช้ประโยชน์จาก “นโยบายการโอนหน่วยกิตและระเบีบการรับเข้าเรียนที่เข้มงวด” โอนหน่วยกิตมาเรียนในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ทั้งยังจะอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมที่พักและทุนการศึกษาให้ด้วย

 

HKUST เผยกับ Straits Times ว่า วันที่สหรัฐฯ ประกาศแบนนักศึกษาต่างชาติมีนักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษา ศิษย์เก่า และนักศึกษาที่กำลังจะไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ติดต่อมหาวิทยาลัย

 

ญี่ปุ่นก็แสดงความเต็มใจที่จะสนับสนุนการยื่นขอวีซ่าสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ โดยทางการได้เรียกร้องให้สถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศเปิดประตูต้อนรับนักศึกษาที่วางแผนหรือเคยลงทะเบียนเรียนในสหรัฐฯ

 

มหาวิทยาลัยรัฐบาล 3 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเกียวโต และมหาวิทยาลัยโอซากา กำลังพิจารณารับนักศึกษาและนักวิจัยรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่อาจต้องย้ายมหาวิทยาลัย แต่ติดปัญหาที่ปีการศึกษาของญี่ปุ่นเริ่มต้นในเดือนเมษายน ซึ่งไม่ตรงกับของสหรัฐฯ

 

ยูสุเกะ มัตซึดะ ตัวแทนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา Crimson Education และที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการมองว่า มีแนวโน้มว่ามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ จะร่วมมือกันและยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มเพื่อยุตินโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อการรับนักศึกษาต่างชาติ โดยอ้างถึงกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2020 ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทรัมป์ซึ่งดำรงตำแหน่งสมัยแรก พยายามบังคับใช้นโยบายที่จะบังคับให้นักศึกษาต่างชาติออกจากสหรัฐฯ หากห้องเรียนของพวกเขาเรียนทางออนไลน์ทั้งหมด แต่ก็ต้องยกเลิกนโยบายดังกล่าวหลังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ฟ้องรัฐบาลทรัมป์

 

บางคนเปลี่ยนใจจากสหรัฐฯ แล้ว

 

นิวา อาร์ ดวิตามา ชาวอินโดนีเซียเผยกับ Straits Times ว่า กำลังพิจารณาไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่อังกฤษแทน ทั้งที่เจ้าตัวได้รับการตอบรับเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ตั้งแต่เดือนมีนาคม

 

Photo by Rick Friedman / AFP

 

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์