จีนออกมาโจมตีประเทศอื่นๆ ที่ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยไม่คำนึงถึงจีน พร้อมทั้งบอกว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่ ‘เอาอกเอาใจ’ สหรัฐฯ ในสงครามภาษีที่ดุเดือดครั้งนี้
ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 10% แต่จีนกลับต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีสินค้าหลายรายการสูงถึง 145% ขณะที่จีนเองก็ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 125%
ขณะนี้หลายประเทศกำลังเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดภาษีศุลกากร ท่ามกลางสงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ดี จีนเตือนประเทศต่างๆ เมื่อวันจันทร์ (21 เม.ย.) ว่าอย่าพยายามทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ
“การประนีประนอมจะไม่นำมาซึ่งสันติภาพ และการประนีประนอมจะไม่ได้รับความเคารพ การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวชั่วคราวโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นเปรียบเสมือนการแสวงหาหนังเสือ...ท้ายที่สุดแล้วจะล้มเหลวทั้งสองฝ่ายและยังส่งผลเสียต่อประเทศอื่นด้วย จีนคัดค้านอย่างหนักต่อฝ่ายใดๆ ที่บรรลุข้อตกลงโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของจีน หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น จีนจะไม่ยอมรับและจะดำเนินการตอบโต้อย่างเด็ดขาด”
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวในแถลงการณ์
มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้สหรัฐฯ และจีนกำหนดภาษีศุลกากรที่สูงเกินจริงกับสินค้าที่นำเข้าจากอีกฝ่าย ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองฝ่าย ซึ่งก่อให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และทำให้ตลาดผันผวนอย่างหนัก
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) ว่าสหรัฐฯ กำลังเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับจีน และเขายังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามการค้าอันขมขื่นนี้ได้ “ใช่ เรากำลังพูดคุยกับจีน พวกเขาติดต่อมาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่าเราจะทำข้อตกลงที่ดีมากกับจีน” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่
ส่วนจีนนั้นให้คำมั่นว่า “จะต่อสู้สงครามการค้าจนถึงที่สุด” แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่ากำลังเจรจากับสหรัฐฯ อยู่หรือไม่ ถึงแม้ว่าจีนจะเรียกร้องให้มีการเจรจาก็ตาม
รัฐบาลจีนได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เรียกว่า ‘นโยบายฝ่ายเดียวและการคุ้มครองทางการค้า’ ของสหรัฐฯ และเตือนว่าระเบียบระหว่างประเทศกำลังกลับไปสู่ ‘กฎแห่งป่า’ “เมื่อผู้แข็งแกร่งตกเป็นเหยื่อของผู้ที่อ่อนแอ ทุกประเทศก็จะตกเป็นเหยื่อ” รัฐบาลจีนกล่าวในแถลงการณ์
(Photo by NHAC NGUYEN / POOL / AFP)