ไบเดน-ทรัมป์ ‘สองลุง’ ที่ไม่ควรลงชิงเก้าอี้ผู้นำ

12 พ.ค. 2566 - 11:55

  • ผลสำรวจชี้ชาวอเมริกันไม่ต้องการทั้ง ‘ไบเดน’ และ ‘ทรัมป์’ ลงชิงประธานาธิบดี 2024

  • ชาวอเมริกันจำนวนมากมองว่าเลือกตั้ง 2024 จะเป็นการแข่งขันที่ไม่มีใครต้องการ

  • แต่ท้ายที่สุดหากต้องเลือก คนอเมริกันจะเลือกผู้นำประเทศที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง มากกว่าผู้นำที่ภาพลักษณ์ดี

biden-vs-trump-2024-rematch-two-old-men-nobody-wants-SPACEBAR-Thumbnail
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งทั่วไปในไทยที่บรรดาพรรคการเมืองต่างเร่งหาเสียงโกยคะแนนกันจนวินาทีสุดท้าย ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เป็นการเลือกตั้งสำคัญที่ชี้ขาดอนาคตการเมืองว่าจะ ‘ไปต่อหรือเปลี่ยนแปลง’ ขั้วแกนนำรัฐบาล การหยั่งเสียงในโพลหลายสำนักที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าคนไทยต้องการ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในตัวผู้นำรัฐบาลอยู่พอสมควร  

การเลือกตั้งนี้ นอกจากเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ขั้ว ฝ่ายเสรีนิยม และอนุรักษนิยมแล้ว ยังถือเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ลุงที่แยกกันเป็นแกนนำในพรรคการเมืองของตนเองเช่นกัน ซึ่งอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นว่ากระแสความนิยมในผู้นำคนรุ่นใหม่ค่อนข้างสูงไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากเราสังเกตช่วงวัยของผู้นำทั่วโลกจะค่อนข้างมีอายุเฉลี่ยระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งในหลายประเทศอายุเฉลี่ยของผู้นำรัฐบาลมักอยู่ในช่วง "วัยกลางคน" ราว 40 ถึง 50 ปี  

พูดถึงอายุของผู้นำแล้ว ในบรรดาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของการเลือกตั้งรอบนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อายุ 77 ปี  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อายุ 69 ปี และชัยเกษตร นิติศิริ อายุ 75 ปี นับว่าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาแคนดิเดต  

ขณะเดียวกันในอีกฟากโลก หนึ่งชาติมหาอำนาจที่ต้นแบบประชาธิปไตยฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าแคนดิเดตประธานาธิบดีสหรัฐในศึกเลือกตั้งอเมริกาปี 2024 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศลงชิงเลือกตั้งปี 2024 ขณะเดียวกัน อดีตคู่แข่งในศึกเลือกตั้ง 2020 อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประกาศลงชิงในศึก 2024 เช่นกัน  

สำหรับไบเดนนอกจากเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดคนนึงแล้ว เขายังจะมีอายุ 86 ปีในคราวที่ลงชิงผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองด้วย ขณะที่ทรัมป์จะมีอายุ 78 ปีในการเลือกตั้ง 2024  

อย่างไรก็ตาม หลังทั้งสองประกาศลงชิงแคนดิเดตประธานาธิบดี 2024 ผลตอบจากโพลสำรวจของชาวอเมริกันระบุว่าทรัมป์และไบเดน ไม่ควรลงสมัครเลือกตั้งในสมัยหน้าด้วยกัน ‘ทั้งคู่’
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5PeOsbX3qxBO2WbD6hTXNE/b03914a6f83a450c0274bdf269e5a8e3/biden-vs-trump-2024-rematch-two-old-men-nobody-wants-SPACEBAR-Photo02
Photo: วิดีโอของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระหว่างการพิจารณาคดีของคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อสืบสวนการโจมตีรัฐสภาสหรัฐฯ (CHIP SOMODEVILLA / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

ศึกของสองชายแก่ผิวขาว 

หลังการเปิดตัวของทั้งทรัมป์และไบเดน โพลสำรวจหลายแห่งต่างชี้ตรงกันว่าทั้งไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่างก็ไม่ควรลงชิงตำแหน่ง 2024 กันทั้งคู่ ซ้ำร้ายบางโพลยังชี้ว่า การลงชิงสมัยสองของไบเดน กลับยิ่งทำให้พรรคเดโมแครตคะแนนนิยมย่ำแย่ลง  

หากเทียบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนทรัมป์จะมีความเป็นไปได้ในการโกยคะแนนมากกว่าไบเดน แต่ก็สร้างความแตกร้าวภายในรีพับลิกันเช่นกัน จากบุคลิกส่วนตัวของทรัมป์ตลอดจนเรื่องอื้อฉาวในคดีความต่างๆ ที่ทรัมป์กำลังเผชิญในขณะนี้ 

โจนาธาน อัลเลน ผู้สื่อข่าวการเมืองอาวุโสประจำสำนักข่าว NBC News ในกรุงวอชิงตันดี.ซี. แสดงความเห็นในเว็บไซต์ของเอ็นบีซีนิวส์ว่า เลือกตั้งสหรัฐ 2024 กำลังจะกลายเป็นศึกชิงทำเนียบขาวของสองชายแก่ผิวขาว (อีกครั้ง) และเป็นการแข่งขันเลือกตั้งที่ไม่มีใครต้องการ 

อัลเลน ระบุว่า ในแบบสำรวจของ NBC News ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเมษายนพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าไบเดน ไมควรลงชิงตำแหน่ง และอีก 60 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าทรัมป์ ก็ไม่ควรลงชิงตำแหน่งเช่นกัน  

อัลเลนระบุว่า ผู้ที่ตอบโพลส่วนใหญ่ของ NBC ระบุว่า ทั้งสองเป็นคู่แข่งที่คนอเมริกันรู้จักกันมานาน รู้จุดแข็งจุดอ่อนซึ่งกันและกัน และผลงานของทั้งสองก็ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหญ่ใดให้กับอเมริกา  ฟาอิซ ชาคีร์ แกนนำทีมหาเสียงในปี 2020 ของ ส.ว. เบอร์นี แซนเดอร์ส ให้มุมมองว่า “ตามวัฒนธรรมแล้ว สังคมอเมริกันมักคุ้นเคยกับอะไรในรูปแบบใหม่ ดังนั้นการลงชิงชัยของ 2 ผู้นำจากสองขั้วไม่ต่างกับการฉายซ้ำ ซึ่งเข้าใจได้สำหรับคนอเมริกันยุคนี้ ที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น”
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5ZtTpfPXkkdwMNPKXxOyYV/ac0b8a72494e39d999885736b7235391/biden-vs-trump-2024-rematch-two-old-men-nobody-wants-SPACEBAR-Photo03
Photo: โดนัลด์ ทรัมป์ ดูวิดีโอของโจ ไบเดน ขณะช่วยสว.มาร์โก รูบิโอ หาเสียงในรัฐฟลอริดา (JOE RAEDLE / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
พีท เคียนเกรโก้ ที่ปรึกษาของ เอมี โคลบุชาร์ สว.อาวุโสของพรรคเดโมแครต ให้ความเห็นว่า ในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ปี 2020 โจ ไบเดน นับว่าเป็นคู่ท้าชิงที่สมน้ำสมเนื้อกับทรัมป์ การที่ไบเดนสามารถช่วงชิงคะแนนเสียงจากมลรัฐที่เป็น "สวิงสเตท" ได้นั้นส่วนหนึ่งเพราะอนุรักษนิยมบางส่วนที่เคยชื่นชอบรีพับลิกัน ไม่ชอบบุคลิกและตัวตนของทรัมป์ จึงทำให้คะแนนสวิงมาทางเดโมแครต  

ทว่าเมื่อไบเดนขึ้นมาบริหาร แม้เขาจะพยายามชูผลงานเด่นในการแก้ปัญหาโควิดระบาด แต่ก็มีคนจำนวนมากที่มีมุมมองเชิงลบต่อการบริการของไบเดน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจหลังการระบาดที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเลี่ยงไม่ได้  

ด้วยเหตุนี้ทำให้ทรัมป์พยายามโจมตีไบเดนซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ซบเซา ไบเดนเป็นความล้มเหลวของเศรษฐกิจ แต่ในอีกมุมหนึ่งทรัมป์ก็เป็นบาดแผลทางประชาธิปไตยของสหรัฐฯ เช่นกัน โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ปลุกระดมมวลชนให้บุกอาคารรัฐสภาคองเกรส  

เบรนดัน บอยล์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา สังกัดเดโมแครตกล่าวว่า “คงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความคิดเห็นต่อโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นได้ชัดว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงลบต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าประธานาธิบดีไบเดนอาจจะอายุมากเกินไปสำหรับงานการเมืองสมัยสอง”
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1tKZutBTv7mvFzxLJVsQjc/10b52c031c64a9843ca369a5a546b7df/biden-vs-trump-2024-rematch-two-old-men-nobody-wants-SPACEBAR-Photo04
Photo: โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะปราศรัยโจมตีโจ ไบเดน ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งกลางเทอมสภาคองเกรส เมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022 (ANGELA WEISS / AFP)

ปากท้องสำคัญกว่าภาพลักษณ์ผู้นำ 

คนอเมริกันค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ต้องการทั้งไบเดนและทรัมป์ แม้ว่าการรีแมตช์ระหว่างทั้งสองดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด บรรดานักวิเคราะห์ต่างก็มีมุมมองที่ค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกันว่า สิ่งที่ชี้ขาดให้ทั้งสองมีคะแนนเหนือคู่แข่งคือการแก้ปัญหาสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐกำลังเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างชัดเจน สะท้อนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุด เพื่อหวังคุมเงินเฟ้อที่ยังสูง ประกอบกับวิกฤตธนาคารล้ม ทำให้ชาวอเมริกันค่อนข้างกังวลปัญหาเศรษฐกิจมาเป็นอันดับแรก 

โธมัส โอ. ฟอล์ก นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสของเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ให้ความเห็นว่า ในมุมมองของชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าหากพรรคใดมีผลงานแก้ไขเศรษฐกิจได้ดีกว่า จะมีโอกาสโกยคะแนนจากชาวอเมริกันที่มีสิทธิลงคะแนนทั้งสองพรรคได้มากกว่า  

ที่ผ่านมาพรรครีพับลิกันจะพยายามอย่างเต็มที่ในการแสดงภาพไบเดนว่าเป็น "เหมา เจ๋อตงเวอร์ชั่นอเมริกัน" แต่เขาก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ เหมือนกับที่ทรัมป์เป็น 

เรื่องนี้มีความสำคัญเนื่องจากชาวอเมริกันได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะลงคะแนนเสียงให้กับทางเลือกที่ไม่เป็นที่นิยมหากประชาธิปไตยตกอยู่ในอันตราย ในช่วงสองปีแรกที่ดำรงตำแหน่ง พรรคเดโมแครตของเขามีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ไบเดนสามารถผลักดันแผนบรรเทาการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานสองฝ่ายมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ 430,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 20 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง 

ในเวทีระหว่างประเทศ ไบเดนได้รับเสียงตอบรับจาการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน นำพันธมิตรนาโต้หนุนยูเครนหลังการรุกรานของรัสเซียและฟื้นฟูพันธมิตรในยุโรป ซึ่งสหรัฐฯ เคยสะบั้นสัมพันธ์หลายชาติในยุโรปในยุคทรัมป์  

เรียกว่าไบเดนเป็นผู้นำบริหารอำนาจได้อย่างมีความชอบธรรมมากว่าประธานาธิบดีคนก่อน อย่างไรก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ชาวอเมริกันมองว่าเป็นภัยคุกคามของประเทศมากว่านั่นคือ ภาวะเงินเฟ้อ และวิกฤตการธนาคารที่ดำเนินต่อไปยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ  

เบรนแดน บัค นักยุทธศาสตร์ประจำพรรครีพับลิกันมายาวนานคาดการณ์ว่า ผลสืบเนื่องของการเลือกตั้ง 2020 ที่ไบเดนคว้าชัยชนะมาจากการที่ไบเดนเป็นผู้นำที่มีภาพลักษณ์ดีพอที่จะดึงดูดความสนใจผู้ลงคะแนนฝั่งรีพับลิกันให้เทไปทางเดโมแครต แต่ถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าไบเดนมีคะแนนนิยมลดลงอย่างมากจากปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่ง  

ขณะที่ฟาอิซ ชาคีร์  ผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงของ ส.ว. เบอร์นี แซนเดอร์ส ยังยอมรับว่า ตัวเลขคะแนนนิยมของไบเดนลดลงอย่างน่าเหลือเชื่อซึ่งนอกจากผลงานแล้ว กลุ่มหัวก้าวหน้าบางคนที่เชียร์รีพับลิกันต้องการเห็นแคนดิเดตรุ่นใหม่ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น  

“ไบเดน เริ่มต้นด้วยความได้เปรียบ จากการบริหารด้วยอำนาจที่มีธรรมาภิบาล ในการเลือกตั้ง 2024 เดโมแครตหลายคนก็ยังมองว่าไบเดนคือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับทรัมป์แม้จะอายุมากแล้ว  

อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันส่วนใหญ่คาดหวังการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งพวกเขาต่างตั้งคำถามต่อข้อกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศภายใต้คณะบริหารไบเดนชุดปัจจุบัน ถึงตอนนี้คนอเมริกันกำลังหวนคิดถึงผู้คนรุ่นใหม่ที่สมาร์ททั้งบุคคลิกและความคิดเหมือนยุคโอบามา เจเอฟเค และโรนัลด์ เรแกน”

ความเห็นของนักวิเคราะห์เหล่านี้ สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า หากในท้ายที่สุดแล้วแคนดิเดตผู้นำสหรัฐฯ ปี 2024 ต้องเป็นทรัมป์กับไบเดน สุดท้ายคนอเมริกันจะเลือกคนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มากกว่าผู้นำที่มีธรรมาภิบาล และเป็นคนที่หนุ่มแน่นกว่านี้ ซึ่งท้ายที่สุดการเลือกตั้งอเมริกา 2024 คือการชิงกันของสองลุงที่ไม่ควรลงเลือกตั้งด้วยกันทั้งคู่ 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์