คนรวยยังเผ่น! เศรษฐีจีนพากันหอบเงินย้ายไปอยู่ประเทศอื่น

7 ก.ย. 2567 - 02:30

  • ปีที่แล้วมหาเศรษฐีจีนย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดไปอยู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ แคนาดา และสิงคโปร์ มากที่สุดในโลก 13,800 คน

  • สิงคโปร์ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของมหาเศรษฐีจีน เพิ่มความเข้มงวดในการเข้าประเทศของมหาเศรษฐีจีนมากขึ้น

  • การเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่มหาเศรษฐีเกาหลีใต้และไต้หวันย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่น

china-biggest-millionaire-exodus-2024-many-head-to-usa-SPACEBAR-Hero.jpg

ความตึงเครียดทางการเมืองและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทำให้บรรดามหาเศรษฐีขนเงินย้ายหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง 

รายงานการโยกย้ายความมั่งคั่งส่วนบุคคลซึ่งจัดทำโดย Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายการลงทุน โดยสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของบุคคลที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พบว่า ปีที่แล้วมหาเศรษฐีจีนย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดไปอยู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ แคนาดา และสิงคโปร์ มากที่สุดในโลก 13,800 คน และคาดว่าปีนี้ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,200 คน ขณะที่คาดการณ์ตัวเลขของทั่วโลกอยู่ที่ 128,000 คน 

ช่วงที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการเข้มงวดในการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 การย้ายถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจีนชะงักลง แต่หลังการผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ตัวเลขการย้ายออกนอกประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในรายงานของ Henley & Partners ไม่ได้ระบุว่ามีมหาเศรษฐีจีนย้ายไปอยู่สหรัฐฯ กี่คนและไปด้วยเหตุผลอะไร 

Henley & Partners ระบุว่า เป็นการยากที่จะบอกว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ขนเงินและทรัพย์สินติดตัวไปมากน้อยเท่าใด แต่ แอนดรูว์ อามอยลส์ หัวหน้าทีมวิจัยจากบริษัทด้านความมั่งคั่ง New World Wealth ที่ร่วมมือในการทำรายงานฉบับนี้เผยว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา มหาเศรษฐีที่ย้ายถิ่นฐานมากที่สุดคือกลุ่มที่มีทรัพย์สินราว 30-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

การที่พลเมืองกระเป๋าหนักย้ายไปอยู่ประเทศอื่นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วของจีน ที่กำลังเผชิญแรงกระเพื่อมจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดยักษ์ใหญ่ในวงการล้มละลายไปหลายเจ้า จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา IMF บอกว่าจีนเผชิญกับความไม่แน่นอนเนื่องจากความวุ่นวายในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ 

นอกจากนี้ ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานและนักวิเคราะห์ยังพบว่า ชาวจีนทั้งคนรวยและชนชั้นกลางที่ต้องการย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มมากขึ้น 

ขณะที่สิงคโปร์ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของมหาเศรษฐีจีน เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันทั้งวัฒนธรรมและภาษาจีนกลาง เพิ่มความเข้มงวดในการเข้าประเทศของมหาเศรษฐีจีนมากขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งปฏิเสธคำขอก่อตั้งสำนักงานครอบครัว (family office-องค์กรบริหารทรัพย์สินของคนรวย) ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อให้ได้สัญชาติ หลังมีกรณีอื้อฉาวเรื่องการฟอกเงิน

เหตุผลที่มหาเศรษฐีจีนย้ายถิ่นฐาน 

  • เศรษฐกิจจีนเติบโตช้าและความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งความไม่แน่นอนของตลาดในประเทศ 
  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งกับชาติตะวันตกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนำมาสู่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่สามารถคาดเดาได้ 
  • ทางการจีนปราบปรามธุรกิจหลายภาคต่างๆ และการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มคนรวยกังวลใจ

อีกประเทศหนึ่งที่มหาเศรษฐีพากันย้ายออกคือ สหราชอาณาจักร ที่เป็นรองเพียงจีนเท่านั้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีมหาเศรษฐีย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่น 9,500 คน เพิ่มขึ้นจากตัวเลขของปีที่แล้วกว่า 2 เท่า 

ที่น่าสนใจคือ ที่ผ่านมาสหราชอาณาจักรเป็นจุดหมายปลายทางที่มหาเศรษฐีจากทั่วโลกต้องการย้ายมาลงหลักปักฐาน โดยกรุงลอนดอนถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดมหาเศรษฐีจากทั้งยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

รายงานของ Henley & Partners ระบุว่า การย้ายถิ่นฐานของมหาเศรษฐีในสหราชอาณาจักรไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีการย้ายเพิ่มขึ้นในช่วงที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ Brexit โดยตั้งแต่ปี 2017 ถึงปีที่แล้วมีมหาเศรษฐีชาวอังกฤษย้ายออก 16,500 คน 

เหตุผลที่มหาเศรษฐีอังกฤษย้ายถิ่นฐาน 

  • การแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาว  
  • โอกาสที่รัฐบาลจะเก็บภาษีคนรวยสูงขึ้นและแผนจะยุติสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีถิ่นพำนักประจำในประเทศ  

เลือกตั้งสหรัฐฯ คือปัจจัย

ส่วนเกาหลีใต้รายงานของ Henley & Partners คาดว่าจะมีมหาเศรษฐีย้ายออกในปีนี้ 1,200 คน ไต้หวัน 400 คน โดย แฮนนาห์ ไวท์ ซีอีโอ Institute for Government ที่วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับรายงานฉบับนี้เผยว่า สาเหตุที่มหาเศรษฐีเกาหลีใต้และไต้หวันย้ายออกนอกประเทศส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งมีโอกาสที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้นั่งเก้าอี้สมัยที่ 2 นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่ยื่นมือเข้ามาปกป้องไต้หวันจากจีน หรือสนับสนุนเกาหลีใต้เพื่อรับมือกับเกาหลีเหนือ

china-biggest-millionaire-exodus-2024-many-head-to-usa-SPACEBAR-Photo01.jpg
Photo: Photo by RABIH MOGHRABI / AFP

UAE จุดหมายปลายทางอันดับแรก 

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คือจุดหมายปลายทางที่บรรดามหาเศรษฐีจากประเทศต่างๆ ต้องการย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่มากที่สุด รายงานของ Henley & Partners คาดว่าปีนี้จะมีมหาเศรษฐีย้ายเข้า UAE 6,700 คน ตามด้วยสหรัฐฯ 3,800 คน และสิงคโปร์ 3,500 คน และเฉพาะ UAE นั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่ในดูไบซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดของ UAE เพิ่มขึ้น 78%  

สิ่งดึงดูดใจมหาเศรษฐีของ UAE  

  • ผลประโยชน์ทางภาษี: UAE ไม่เก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และเก็บภาษีนิติบุคคลไม่สูงมาก  
  • โอกาสทางธุรกิจ: ทำเลที่ตั้งของประเทศเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยม และยังมีระบบนิเวศทางธุรกิจที่เฟื่องฟู ทั้งอาบูดาบีและดูไบต่างก็สร้างตลาดการเงินที่ดึงดูดบริษัทต่างๆ ทั่วโลกให้เข้าไปตั้ง 
  • คุณภาพชีวิต: มอบคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา 

สวรรค์ทั้ง 8  

Henley & Partners กำหนดให้ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย มอลตา มอริเชียส โมนาโก สวิตเซอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์ อยู่ในกลุ่มประเทศ “Safe Haven 8” คือ รัฐอธิปไตยที่มีความปลอดภัยและความมั่นคงในระดับสูง ซึ่งยังคงอยู่ห่างไกลจากปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลก ทั้งหมดนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของบรรดามหาเศรษฐีที่ต้องการย้ายประเทศ โดยผู้ย้ายถิ่นฐานที่เกิดในต่างประเทศมีสัดส่วนมากกว่า 40% ของประชากรเศรษฐีในประเทศเหล่านี้ทั้งหมด 

ส่วนสหรัฐฯ แม้จะไม่อยู่ในกลุ่มนี้ แต่อามอยลส์เผยว่า “การเป็นผู้นำด้านเทคของสหรัฐฯ คือกุญแจหลักที่ดึงดูดมหาเศรษฐี บวกกับการที่ฟลอริดากลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับการใช้ชีวิตวัยเกษียณของมหาเศรษฐีจากทั่วโลก สหรัฐฯ เป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2 แห่ง นอกจากนี้ 9 ใน 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของมูลค่าตลาดก็ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ (ณ วันที่ 31 มี.ค.) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ โดดเด่น” 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจถ้ามหาเศรษฐีย้ายออก 

การย้ายออกของมหาเศรษฐฐีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเศรษฐกิจ Henley & Partners ระบุว่า ตัวเลขการโยกย้ายถิ่นฐานของมหาเศรษฐีเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ การย้ายออกจำนวนมากบ่งชี้ถึงปัญหารุนแรงที่ส่อแววถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ลดลง และคนมั่งคั่งคือคนกลุ่มแรกที่จะย้ายหนีหากสถานการณ์เริ่มไม่ดี เพราะมีทั้งทรัพยากรอยู่ในมือและมีความยืดหยุ่นในการย้ายถิ่นฐาน 

มหาเศรษฐีที่ย้ายถิ่นยังก่อให้เกิดรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศใหม่ เช่น มหาเศรษฐีคนหนึ่งย้ายเข้ามาพร้อมทรัพย์สิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่ากับประเทศใหม่มีรายได้จากการส่งออก 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศใหม่ การสูญเสียมหาเศรษฐีย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต้นทางได้เช่นกัน 

Photo by MARK RALSTON / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์