South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) ที่ผ่านมา จีนตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ว่าไม่มีความโปร่งใสเพียงพอเกี่ยวกับความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในเดือนที่ผ่านมา และเสนอว่าอุบัติการณ์ของการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตของจีนนั้นเทียบเคียงได้กับประเทศอื่นๆ
“จีนแบ่งปันข้อมูลของเขาอย่างมีความรับผิดชอบกับประชาคมระหว่างประเทศมาโดยตลอด” หลิวเผิงอวี่ โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันกล่าวในการแถลงข่าว
หลิว กล่าวอีกว่า ในเดือนที่แล้ว เรามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์การอนามัยโลก (WHO) 2 ครั้ง ขณะที่ก่อนหน้านี้เรามีการแลกเปลี่ยนการอภิปรายทางเทคนิคอีกครั้งกับ WHO และนักวิทยาศาสตร์จีนกำลังทำงานร่วมกับ WHO เพื่อหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล
เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตกล่าวในขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในจีน หลังจากที่ทางการจีนละทิ้งมาตรการควบคุมไวรัสโคโรนาที่เข้มงวดเกือบ 3 ปี ซึ่งเป็นการปิดประเทศและจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างรุนแรง
การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทางการในจีนไม่ได้รายงานข้อมูลการติดเชื้ออย่างถูกต้อง ทำให้หลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย กำหนดให้มีการทดสอบและคัดกรองโควิด-19 ตามข้อกำหนดสำหรับผู้ที่มาจากหรือผ่านทางจีน
การประเมินของหลิวเป็นไปตามความคิดเห็นของไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายเหตุฉุกเฉินของ WHO เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่า ตัวเลขปัจจุบันที่เผยแพร่จากจีนยังต่ำกว่าจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล การเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเสียชีวิต
ตามคำแนะนำของประธานสหภาพยุโรปของสวีเดน ซึ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหภาพยุโรป เยอรมนีประกาศว่าผู้เดินทางจากจีนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่มีผลเป็นลบก่อนการเดินทาง นอกจากนี้ ทางการสหภาพยุโรปยังถูกขอให้เพิ่มขั้นตอนการทดสอบน้ำเสียจากสนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศและเครื่องบินที่มาจากประเทศจีน เพื่อติดตามหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
จนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ประณามการจำกัดการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวชาวจีนว่าไร้หลักวิทยาศาสตร์และเป็นสิ่งที่ ‘รับไม่ได้’ สำหรับการกำหนดเป้าหมายไปยังประเทศจีน ยกเว้นฮ่องกง ขณะที่ทางการจีนกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามารับการทดสอบหาเชื้อในสถานที่โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะขึ้นเครื่องมาจากที่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับการตอบสนองของจีนต่อการช่วยเหลือด้านวัคซีนจากสหรัฐฯ หลิวกล่าวว่า วัคซีนที่ประเทศของเขาพัฒนาขึ้นในประเทศมีประสิทธิภาพเท่ากับชนิด mRNA ที่พัฒนาในสหรัฐฯ เราพบว่าผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามหากพูดกันทั่วโลก จีนยังคงมีอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตต่ำที่สุด การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในจีนไม่ใช่เรื่องผิดปกติจากที่อื่นๆ ในโลก ชาวจีนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในช่วงเวลาอันตรายที่สุดของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมคิดว่าสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนที่พัฒนาขึ้นในจีน
“เมื่อเปรียบเทียบวัคซีนเชื้อตายซึ่งส่วนใหญ่ผลิตโดยจีนกับวัคซีน mRNA พวกมันมีประสิทธิภาพเท่ากันในการป้องกันกรณีรุนแรงที่เกิดจากโอมิครอน” หลิวกล่าวโดยอ้างถึงสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโคโรนาและอ้างผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง
บทสรุปของการศึกษาดังกล่าว เผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค. 2022 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า CoronaVac ที่พัฒนาโดยจีน มีประสิทธิภาพในการต่อต้าน ‘การเจ็บป่วยร้ายแรง’ ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป 97.9% เทียบกับวัคซีน mRNA ที่พัฒนาโดย Pfizer และ BioNTech ที่มีประสิทธิภาพ 98% อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ยังถือว่า CoronaVac มีประสิทธิภาพ 50.7% ในการรักษาโรคเล็กน้อยหรือปานกลางในกลุ่มอายุเดียวกัน เทียบกับ 71.6% ในส่วนของ Pfizer และ BioNTech
“จีนแบ่งปันข้อมูลของเขาอย่างมีความรับผิดชอบกับประชาคมระหว่างประเทศมาโดยตลอด” หลิวเผิงอวี่ โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันกล่าวในการแถลงข่าว
หลิว กล่าวอีกว่า ในเดือนที่แล้ว เรามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์การอนามัยโลก (WHO) 2 ครั้ง ขณะที่ก่อนหน้านี้เรามีการแลกเปลี่ยนการอภิปรายทางเทคนิคอีกครั้งกับ WHO และนักวิทยาศาสตร์จีนกำลังทำงานร่วมกับ WHO เพื่อหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล
เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตกล่าวในขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในจีน หลังจากที่ทางการจีนละทิ้งมาตรการควบคุมไวรัสโคโรนาที่เข้มงวดเกือบ 3 ปี ซึ่งเป็นการปิดประเทศและจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างรุนแรง
การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทางการในจีนไม่ได้รายงานข้อมูลการติดเชื้ออย่างถูกต้อง ทำให้หลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย กำหนดให้มีการทดสอบและคัดกรองโควิด-19 ตามข้อกำหนดสำหรับผู้ที่มาจากหรือผ่านทางจีน
การประเมินของหลิวเป็นไปตามความคิดเห็นของไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายเหตุฉุกเฉินของ WHO เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่า ตัวเลขปัจจุบันที่เผยแพร่จากจีนยังต่ำกว่าจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล การเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเสียชีวิต
ตามคำแนะนำของประธานสหภาพยุโรปของสวีเดน ซึ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหภาพยุโรป เยอรมนีประกาศว่าผู้เดินทางจากจีนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่มีผลเป็นลบก่อนการเดินทาง นอกจากนี้ ทางการสหภาพยุโรปยังถูกขอให้เพิ่มขั้นตอนการทดสอบน้ำเสียจากสนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศและเครื่องบินที่มาจากประเทศจีน เพื่อติดตามหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
จนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ประณามการจำกัดการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวชาวจีนว่าไร้หลักวิทยาศาสตร์และเป็นสิ่งที่ ‘รับไม่ได้’ สำหรับการกำหนดเป้าหมายไปยังประเทศจีน ยกเว้นฮ่องกง ขณะที่ทางการจีนกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามารับการทดสอบหาเชื้อในสถานที่โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะขึ้นเครื่องมาจากที่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับการตอบสนองของจีนต่อการช่วยเหลือด้านวัคซีนจากสหรัฐฯ หลิวกล่าวว่า วัคซีนที่ประเทศของเขาพัฒนาขึ้นในประเทศมีประสิทธิภาพเท่ากับชนิด mRNA ที่พัฒนาในสหรัฐฯ เราพบว่าผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามหากพูดกันทั่วโลก จีนยังคงมีอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตต่ำที่สุด การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในจีนไม่ใช่เรื่องผิดปกติจากที่อื่นๆ ในโลก ชาวจีนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในช่วงเวลาอันตรายที่สุดของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมคิดว่าสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนที่พัฒนาขึ้นในจีน
“เมื่อเปรียบเทียบวัคซีนเชื้อตายซึ่งส่วนใหญ่ผลิตโดยจีนกับวัคซีน mRNA พวกมันมีประสิทธิภาพเท่ากันในการป้องกันกรณีรุนแรงที่เกิดจากโอมิครอน” หลิวกล่าวโดยอ้างถึงสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโคโรนาและอ้างผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง
บทสรุปของการศึกษาดังกล่าว เผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค. 2022 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า CoronaVac ที่พัฒนาโดยจีน มีประสิทธิภาพในการต่อต้าน ‘การเจ็บป่วยร้ายแรง’ ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป 97.9% เทียบกับวัคซีน mRNA ที่พัฒนาโดย Pfizer และ BioNTech ที่มีประสิทธิภาพ 98% อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ยังถือว่า CoronaVac มีประสิทธิภาพ 50.7% ในการรักษาโรคเล็กน้อยหรือปานกลางในกลุ่มอายุเดียวกัน เทียบกับ 71.6% ในส่วนของ Pfizer และ BioNTech
