ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังบูม แล้วมันจะบูมได้ตลอดไปไหม

19 พ.ย. 2565 - 09:53

  • หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนสนับสนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ แต่โครงการนี้กำลังจะหมดลง

  • นักวิเคราะห์พากันจับตาว่า หลังรัฐเลิกสนุบสนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังบูมอยู่หรือไม่

china-electric-car-market-is-booming-but-can-it-last-SPACEBAR-Thumbnail
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าว BBC ระบุว่า หากต้องการทำความเข้าใจว่ารัฐบาลมีส่วนช่วยผลักดันให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง ให้ดูจากรถแท็กซี่ในกรุงปักกิ่งของจีน 

เมื่อ 5 ปีที่แล้วกรุงปักกิ่งประกาศว่าจะแบนรถแท็กซี่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิล แต่วันนี้รถแท็กซี่ส่วนใหญ่ในกรุงปักกิ่งขับเคลื่อนโดยอาศัยพลังงานจากแบตเตอรีแทนแล้ว ที่สำคัญคือคนขับไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเวลาไปกับการชาร์จรถเลย 

เจ้าของรถแท็กซี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในกรุงปักกิ่งและในอีกหลายๆ เมืองของจีนเพียงแค่ต้องขับเข้าไปในสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ หลังจากนั้นเครื่องจักรจะดึงแบตเตอรี่ที่หมดแล้วออก แล้วนำแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้วมาใส่กลับเข้าไปแทนภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น 

เซี่ยอีหยุนจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันเผยกับ BBC ว่า “พวกเขาต้องการขับออกไปแล้วหาเงิน ดังนั้นพวกเขาไม่ต้องการเสียเวลารอชาร์จรถ 2 ชั่วโมงหรอก” 

นี่เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนบูมขึ้นมาและมีความหลากหลาย นอกจากนี้ประชาชนทั่วไปก็พากันหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น 

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สมาคมรถยนต์โดยสารจีนประมาณการว่าปี 2022 จะมีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในจีน 6 ล้านคัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้จะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 5.5 ล้านคัน 

จากตัวเลขล่าสุดพบว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเทสลาขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ 83,135 คัน นับว่ามากที่สุดในจีน 

เกือบ 1 ใน 4 ของรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ในจีนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดปลั๊กอิน นั่นหมายความว่าจีนแซงหน้าทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ในแง่ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังพบว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกถูกขายที่จีน 

เซี่ยเผยว่า ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยข้อบังคับและแรงจูงใจจากรัฐบาลจีน ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้สนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนเงินที่สนับสนุนก็ลดลงเรื่อยๆ และกำลังจะหมดลงในสิ้นปี 2023 นี้แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้การซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจง่ายมากทางการเงิน 

เซี่ยเผยอีกว่า คนที่ซื้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงในจีนไม่เพียงแต่จะต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลกับค่าตัวรถเท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายค่าแผ่นป้ายทะเบียนด้วยและ ‘มันแพงมาก’ โดยค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ในเซี่ยงไฮ้สนนราคาเกือบ 10,000 หยวน หรือเกือบ 51,726 บาท  

นอกจากนี้ ยังมีข้อดีอื่นๆ หากจะหันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแทนแม้ว่าจะแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง อาทิ ในเมืองหลิ่วโจว ทางการอนุญาตให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าขับรถในเลนของรถบัสได้ และยังสามารถเข้าถึงที่จอดรถฟรีได้ด้วย  

จอน ไฮคาวี ประธานและผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาและวิจัย  Stormcrow Capital เผยว่า ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าบางค่ายยังตั้งราคาที่ดึงดูดคนใช้ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นธรรมดาราคาเพียง 4,200 ปอนด์ หรือราว 177,945 บาท ซึ่งดึงดูดคนเมืองและคนที่ซื้อรถยนต์คันแรก ‘รถเหล่านี้ยังอาจเป็นรถที่ขายได้จำนวนมากในเอเชียด้วย’

ขณะนี้รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในจีนคือ Hong Guang Mini นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอื่นๆ ในราคาที่ขยับสูงขึ้นมา อาทิ เทสลา รุ่น Y (49,000 ปอนด์ หรือราว 2,077,230 บาท) P7 ของ XPENG (30,410 ปอนด์ หรือราว 1,289,360 บาท) ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้อยู่ในท็อป 10 รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในจีน 

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนแข่งขันกันสูงมากและยังมีหลายบริษัทต้องการลงสนาม จากรายงานของสำนักข่าว Reuters ระบุว่า แม้แต่บริษัทด้านสายการบินอย่าง Juneyao ยังต้องการหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ซึ่งการแข่งขันนี้เองที่ทำให้หลายบริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาแข่งกันเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน 

ทว่ายังมีคำถามใหญ่ๆ อีก 2 คำถามเกี่ยวกับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าฟีเวอร์ในจีน คำถามแรกคือ มันจะยั่งยืนแค่ไหน คำถามที่สองคือ จะมีอิทธิพลต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกอย่างไร 

แอนา นิคอลล์ส นักวิเคราะห์จาก Economist Intelligence Unit เผยว่า เธอเซอร์ไพรส์มากที่รถยนต์ไฟฟ้าออกจากตัวแทนจำหน่ายอย่างรวดเร็ว ทว่าหากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการซื้อรถยนต์ใหม่ ความต้องการซื้ออาจจะลดลง  “แทบจะบอกไม่ได้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนจะยังคงขยายตัวในระดับนี้ในอนาคตหรือไม่” 

อย่างไรก็ดี สถานีชาร์จยังกระจายไม่ทั่วถึงและยังมีปัญหาเรื่องความขาดแคลน โดยบางสถานีชาร์จบางแห่งถูกตัดออกไปเมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลดลงอันเนื่องมาจากความแห้งแล้งที่กระทบกับบางพื้นที่ของจีน 

เมื่อมีคนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นตาม และจีนกำลังเจองานยากในการจัดสรรไฟฟ้าให้เพียงพอกับรถยนต์เหล่านี้ในช่วงเวลาเดียวกับที่จีนกำลังตัดลดการใช้พลังงานจากถ่านหินในโรงไฟฟ้า 

ซึ่งนี่เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำไม่นักวิเคราะห์บางคน รวมทั้งไฮคาวีมองว่ารถยนต์ไฮบริดเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากต้องพึ่งพาไฟฟ้าน้อยกว่า ทั้งยังใช้ลิเทียมน้อยกว่าเนื่องจากมีขนาดแบตเตอรี่เล็กกว่า และนั่นถือเป็นข้อดีมากเนื่องจากลิเทียมอาจขาดแคลนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 

ส่วนประเด็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าจีนจะมีอิทธิพลต่อตลาดโลกอย่างไรนั้น ยังมีใครฟันธงออกมา แต่มันกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยบริษัทสัญชาติจีนเข้าไปทำการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแล้วทั้งในละติน อเมริกา แอฟริกา และแถบอื่นๆ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮเอนด์อย่าง Nio ได้พาสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่เข้าไปในนอร์เวย์แล้ว และเปิดบริการสถานีที่สองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

เปโดร พาเชโค นักวิเคราะห์จาก Gartner มองว่า แบรนด์รถยนต์รายใหญ่จะต้องนำการเปลี่ยนแบตเตอรี่มาปรับใช้เพื่อให้เทคโนโลยีนี้แพร่หลายในยุโรป  

พาเชโคยังพูดถึงความสำเร็จของรถยนต์ไฟฟ้าราคาสุดประหยัดในจีนอย่าง รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Wuling และ Chery ว่า “ในจีน พวกเขามีรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาเอื้อมถึงอยู่แล้ว ในยุโรป เรายังไม่ถึงจุดนั้น” 

ในตลาดเกิดใหม่นี่คือรถที่จะฮอตฮิต แล้วถึงเวลาที่จะครองโลกหรือยังล่ะ? อาจจะ แต่ก็ยังมีชุดความคิดอื่นที่บอกว่าโลกยังคงรอได้ 

นิคอลล์สเผยว่า “ตราบใดที่ตลาดในจีนยังบูม พวกเขาอาจจะเพียงขายในประเทศเท่านั้น ผมหมายถึง ทำไม่จะไม่ล่ะ” 

BBC ระบุว่า นักวิเคราะห์เห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งที่ต้องจับตามองต่อไปคือ จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากรัฐบาลเลิกสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า นั่นอาจผลักให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีนขยับออกไปยังตลาดอื่น และอาจทำให้หลายๆ คนตกหลุมรักรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งก็ต้องขอบคุณนโยบายของรัฐบาลจีน ที่เหลือก็เพียงแค่รอดูเท่านั้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์