ขณะนี้จีน และสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้สงครามการค้ามากขึ้นทุกที ซึ่งล่าสุด จีนเตือนสหรัฐฯ ว่าพร้อมที่จะทำสงคราม ‘ทุกรูปแบบ’ หลังทั้งสองประเทศต่างตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีการค้าใส่กัน
“หากสหรัฐฯ ต้องการสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบใดก็ตาม เราก็พร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุด” สถานทูตจีนโพสต์ข้อความจากแถลงการณ์ของรัฐบาลบน X เมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ที่ผ่านมา
นี่ถือเป็นถ้อยคำที่แข็งกร้าวที่สุดครั้งหนึ่งของจีนนับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเกิดขึ้นในขณะที่บรรดาผู้นำรวมตัวกันที่ปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปี
เมื่อวันพุธ (5 มี.ค.) ที่ผ่านมา นายกฯ หลี่เฉียง ของจีนประกาศว่าจีนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอีก 7.2% ในปีนี้ และเตือนว่า “การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบศตวรรษกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในอัตราที่รวดเร็วยิ่งขึ้น” การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และตรงกับตัวเลขที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว
ผู้นำในกรุงปักกิ่งพยายามส่งสารถึงชาวจีนว่าพวกเขาเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตได้ แม้จะมีภัยคุกคามจากสงครามการค้าก็ตาม จีนมุ่งมั่นที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นประเทศที่มั่นคงและสงบสุข ซึ่งแตกต่างจากสหรัฐฯ โดยจีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเข้าไปพัวพันกับสงครามในตะวันออกกลางและยูเครน
จีนอาจหวังที่จะใช้ประโยชน์จากการกระทำของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรเช่นกัน และไม่ต้องการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปเพื่อขู่ขวัญพันธมิตรระดับโลกรายใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
ถ้อยแถลงของนายกฯ หลี่เฉียงเมื่อวันพุธได้เน้นย้ำว่าจีนจะยังคงเปิดกว้างและหวังที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น
ในอดีต จีนเคยเน้นย้ำว่าพร้อมที่จะทำสงคราม อีกทั้งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังได้เรียกร้องให้กองทัพเสริมความพร้อมในการทำสงคราม โดยกองทัพได้ฝึกซ้อมรบรอบไต้หวันที่ปกครองตัวเอง แต่มีข้อแตกต่างระหว่างความพร้อมทางทหารกับความพร้อมในการทำสงคราม
สถานทูตจีนในวอชิงตันโพสต์อ้างแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษจากวันก่อน ซึ่งยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่ากล่าวโทษจีนในกรณียาเฟนทานิลที่ไหลเข้ามา “ปัญหาสารเฟนทานิลถือเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระสำหรับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ การข่มขู่ไม่ได้ทำให้เรากลัว การกลั่นแกล้งไม่ได้ผลกับเรา การกดดัน บังคับ หรือขู่เข็ญไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับจีน” โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าว
ขณะที่ พีต เฮกเซท รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อเช้าวันพุธ (5 มี.ค.) ว่า สหรัฐฯ ‘เตรียมพร้อม’ ที่จะทำสงครามกับจีน เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับคำขู่ที่น่าตกใจจากปักกิ่งในการตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ “เราเตรียมพร้อมแล้ว ผู้ที่ต้องการสันติภาพต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” และเน้นย้ำว่า “ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญ”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ ทำไมเราจึงต้องสร้างการยับยั้งในอุดมการณ์ของนักรบขึ้นมาใหม่ เราอาศัยอยู่ในโลกที่อันตรายซึ่งมีประเทศที่มีอำนาจและเจริญรุ่งเรืองพร้อมกับอุดมการณ์ที่แตกต่างกันมาก...หากเราต้องการยับยั้งสงครามกับจีน หรือกับประเทศอื่น เราจะต้องเข้มแข็ง” เฮกเซท กล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมากที่สุดในโลก แต่เจ้าหน้าที่ในกรุงปักกิ่งก็มีความหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนภายใต้การนำของทรัมป์จะเริ่มต้นได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้นหลังจากที่ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิงเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กันกับสีจิ้นผิง เพียงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะรับตำแหน่ง ทั้งนี้ มีรายงานว่าผู้นำทั้งสองจะมีการประชุมอีกครั้งในเดือนที่แล้ว แต่ก็ไม่เกิดขึ้น
สีจิ้นผิงกำลังเผชิญกับปัญหาการบริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และการว่างงาน ขณะเดียวกัน ทางการจีนก็ให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ โดยสีจิ้นผิงได้เปิดเผยแผนดังกล่าวท่ามกลางผู้แทนหลายพันคนที่เข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ
(Photo by ADEK BERRY / AFP)