แนวปะการังทั่วโลกกำลังฟอกขาวครั้งใหญ่มหาศาลจากวิกฤตสภาพอากาศที่ยิ่งผลักดันให้น้ำทะเลร้อนทำลายสถิติ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าช่วงเวลาของการฟอกขาวนี้อาจเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
แนวปะการังมากกว่า 54% ทั่วโลกกำลังฟอกขาวตั้งแต่ปีที่แล้ว กระทบอย่างน้อย 53 ประเทศและดินแดน ซึ่งกินพื้นที่มหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิกและอินเดีย กล่าวในแถลงการณ์ขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) และ โครงการริเริ่มแนวปะการังนานาชาติ (ICRI)
“มีแนวโน้มว่าการฟอกขาวจะเกินจุดสูงสุดครั้งที่แล้ว คือ 56.1% เร็วๆนี้” เดเรค มานเซลโล ผู้ประสานงานโครงการเฝ้าระวังแนวปะการัง ของ NOAA กล่าว “เปอร์เซ็นต์พื้นที่แนวปะการังที่กำลังฟอกขาวจากความร้อนกำลังเพิ่มขึ้น 1% ต่อสัปดาห์”
เมื่อแนวปะการังประสบกับคลื่นความร้อนในทะเล มันจะคายสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อซึ่งทำให้ปะการังมีสีสันและเป็นแหล่งพลังงานหลัก ถ้าอุณหภูมิมหาสมุทรไม่กลับคืนสู่สภาพปกติ การฟอกขาวจะทำให้แนวปะการังตายในที่สุด ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์และห่วงโซ่อาหารก็จะพังทลายลง
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ของโลก และเป็นครั้งที่ 2 ในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นในปี 1998, 2010 และระหว่างปี 2014 – 2017
ในปีที่แล้ว การฟอกขาวมหาศาลได้รับการยืนยันในภูมิภาคต่างๆ ประกอบด้วย ฟลอริดา และ แคริบเบียน เม็กซิโก บราซิล ออสเตรเลีย และแปซิฟิกตอนใต้ ทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย อินโดนีเซีย และมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งรวมถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาและเซเชลส์
ศาสตราจารย์ โอฟ ฮอก-กัลด์เบิร์ก นักวิทยาศาสตร์สภาพอากาศที่เชี่ยวชาญด้านแนวปะการัง แห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวมหาศาลเมื่อหลายเดือนก่อน
“เรารู้ว่าอุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ความกังวลก็คือเราไม่รู้ว่าอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากนี้จะอยู่อีกนานเท่าไหร่”
ฮอก-กัลด์เบิร์ก
12 เดือนที่ผ่านมาโลกร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์และอุณหภูมิน้ำทะเลก็สูงทำลายสถิติ โดยอุณหภูมิผิวน้ำทะเลโลกทำสถิติสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ และอีกครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากข้อมูลของ Copernicus Climate Change Service ผู้ให้บริการด้านสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป
ในเดือนกุมภาพันธ์ นักวิทยาศาสตร์แห่งโครงการเฝ้าระวังแนวปะการังของ NOAA ได้เพิ่มระดับเตือนภัยไป 3 ระดับในแผนที่เตือนภัยแนวปะการัง ไปอยู่ที่ระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เรียกว่า “ภาวะใกล้ตายเกือบทั้งหมด” หมายถึงแนวปะการังเกิน 80% เสี่ยงตาย เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถประเมินค่าความร้อนใต้ทะเลใหม่
ลานีญ่าจะช่วยบรรเทาได้หรือไม่
เอลนีโญ่ที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ยิ่งขับเคลื่อนให้มหาสมุทรร้อนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
NOAA คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์ลานีญ่า ที่เป็นคู่ของเอลนีโญ่ แต่อากาศเย็นกว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมในปีนี้ ซึ่งถือเป็นความหวังสำหรับแนวปะการัง มานเซลโล กล่าว
เขาเสริมว่า แต่ปรากฏการณ์ฟอกขาวเคยยังคงอยู่แม้ในช่วงลานีญ่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
“ผมกำลังกังวลมากขึ้น เกี่ยวกับฤดูร้อน 2024 บริเวณแคริบเบียนและฟลอริดา” มานเซลโล กล่าว
เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ใน Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขยายวงกว้างทางตอนเหนือและตอนใต้ ซึ่งปรากฏการณ์ฟอกขาวขนาดมหาศาลนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม หลังมีการสำรวจทางอากาศและใต้น้ำโดย Australian Institute of Marine Science (AIMS) ซึ่งเป็นสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลออสเตรเลีย และ Great Barrier Reef Marine Park Authority ซึ่งเป็นอุทยานทางทะเลเกรทแบริเออร์รีฟ
“คลื่นความร้อนในทะเลที่หนักและบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทดสอบระดับความทนทานของแนวปะการัง” เซลีนา สเตด CEO แห่ง AIMS “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อแนวปะการังทั่วโลกและการยืนยันของโลกนี้ได้แสดงให้เห็นว่าผลกระทบขยายวงกว้างมากเพียงใดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกจำเป็นต้องทำงานกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ...อีกสิ่งสำคัญก็คือต้องแน่ใจว่ามีการจัดการที่ดีกับแนวปะการังทั้งในระดับท้องถิ่นและภูมิภาค”
เซลีนา สเตด CEO แห่ง AIMS
โปรแกรมสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติได้เตือนว่าถ้าโลกยังล้มเหลวในการลดการปล่อยก๊าซอย่างเอาจริงเอาจัง โลกก็จะไปถึงจุดที่อุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 3 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในศตวรรษนี้
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าแม้อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งคาดว่าโลกจะไปถึงตรงนั้นประมาณปี 2050 แนวปะการังประมาณ 99% ของโลกจะตาย
แนวปะการัง นอกจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลแล้ว ยังมีความสำคัญต่อชุมชนชายฝั่งทั่วโลกอย่างมาก เพราะมีบทบาทในการเป็นระบบป้องกันอันตรายจากน้ำท่วมที่มาจากพายุและระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญและมีผลต่อการดำรงชีวิตของผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก
เดวิด ริตเตอร์ CEO แห่งกรีนพีซ ออสเตรเลีย กล่าวว่าแนวปะการังกำลังเผชิญกับ “อันตรายในการดำรงชีวิต”
“สาเหตุหลักของปัญหามาจากเชื้อเพลิงที่ทำให้โลกร้อนขึ้น คือ บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และรัฐบาลที่สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้”
เดวิด ริตเตอร์ CEO แห่งกรีนพีซ ออสเตรเลีย
“เรากำลังออกนอกเส้นทางในการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้ และต้องลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าหยุดเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทันที” ริตเตอร์ กล่าวเสริม