5 วิกฤตที่โลกยังต้องเผชิญในปี 2023

28 ธ.ค. 2565 - 05:41

  • เตรียมตัว ปีหน้าอาจไม่ราบรื่น เมื่อโลกยังมีวิกฤตที่ต้องเผชิญความท้าทายในศักราชใหม่ 2023

crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Thumbnail_7e00b2ffba.jpeg
เข้าสู่การเริ่มต้นของศักราชใหม่ พ.ศ.2566 หรือ ค.ศ.2023 ปีใหม่ โอกาสแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ วิถีใหม่ ไอเดียใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากเราย้อนกลับไปมองสถานการณ์โลกตลอดช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา ถือว่าโลกเผชิญความผันผวนและการสูญเสียไปไม่น้อย  
 
เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ของปีที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนทวีความรุนแรงจนบานปลายกลายเป็นสงคราม มีผู้บาดเจ็บ สูญเสีย และผู้พลัดถิ่นจำนวนมาก อีกทั้งจนถึงขณะนี้ก็ยังไร้วี่แววว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง  
 
ผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน นอกจากเกิดวิกฤตด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วยจากปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสงคราม  
 
นอกเหนือจากสงครามและสภาพเศรษฐกิจแล้ว ในปี 2022 ที่ผ่านมาโลกจะพบกับความสูญเสียของบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ ที่เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร ถือเป็นเหตุการณ์ช็อกโลก ตลอดจนการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งนำไปสู่การผลัดเปลี่ยนรัชการสู่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3  
 
เมื่อเข้าสู่ปี 2023 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังคงต่อสู้กับความขัดแย้งที่ยาวนานหลายทศวรรษ ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ และผลกระทบร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนความมั่นคงด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นวิกฤตที่สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2022 และนี่คือ 5 วิกฤตที่คาดว่าโลกยังคงต้องเผชิญในปีหน้า ซึ่งจำเป็นที่เราต้องรับทราบเพื่อหารือร่วมกันเพื่อป้องกันหรือรับมือถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในศักราชใหม่นี้
crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Photo01_e67814ff19.jpeg
อาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายในเมืองเอร์ซอน ของยูเครน

ยูเครน สงครามก่อให้เกิดการพลัดถิ่นครั้งใหญ่  

 
เชื่อว่าในปี 2023 สงครามยูเครนยังคงไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ อย่างไรก็ตามผลกระทบจากสงครามยูเครนได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตผู้พลัดถิ่นที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลกในรอบหลายทศวรรษ  
 
ตามรายงานของสำนักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จัดให้ยูเครนอยู่ในกลุ่ม Watchlist ประเทศที่มีวิกฤตด้านมนุษยธรรมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ขณะที่ชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถอพยพออกนอกประเทศได้ ก็ยังคงเผชิญภัยคุกคามจากสงคราม และความยากลำบากในช่วงฤดูหนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  
 
นอกจากนั้นความต้องการด้านอาหาร น้ำสะอาด ยารักษาโรค ตลอดจนของใช้จำเป็นอื่นๆ ก็ยังคงไม่สามารถส่งเข้าไปช่วยเหลือแก่ยูเครนได้อย่างเต็มที่  
 
ความท้าทายที่ยูเครนยังต้องเผชิญในปี 2023 คือแนวโน้มความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ชาวยูเครนยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการบาดเจ็บ การเจ็บป่วย และการเสียชีวิต ตลอดจนการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซีย ที่อาจทำให้หลายล้านคนไม่มีน้ำสะอาด ไฟฟ้า และเครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว  
 
ขณะนี้ชาวยูเครนไม่น้อยกว่า 6.5 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ ขณะที่อีกกว่า 7.8 ล้านคนเป็นผู้ลี้ภัยทั่วยุโรป สถานการณ์ของยูเครนในปี 2023 จึงยากที่จะคาดเดา ก็ได้แต่หวังว่าองคาพยพระดับนานาชาติจะดำเนินการอย่างเข้มแข็งมากพอในการบรรเทาและจัดการกับวิกฤตครั้งนี้
crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Photo02_2f5b3bcd0a.jpeg
วิกฤตพลังงานในฝรั่งเศส

วิกฤตราคาพลังงาน จุดเปลี่ยนและความท้าทาย 

 
สิ่งที่สืบเนื่องจากวิกฤตยูเครน คือความวุ่นวายทางด้านพลังงานที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จากการที่ประเทศตะวันตกคว่ำบาตรทางการเงินต่อรัสเซียและห้ามการส่งออกพลังงาน รัสเซียตัดการส่งก๊าซไปยังยุโรปเพื่อตอบโต้ ชาติอุตสาหกรรมใหญ่อย่างเยอรมนีต้องลดการใช้พลังงานลงและมองหาแหล่งพลังงานจากที่อื่น ขณะที่ประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางประสบปัญหาในการเข้าถึงพลังงานที่ราคาไม่แพง ประเทศต่างๆ รวมทั้งปากีสถาน บังกลาเทศ และศรีลังกา ประสบปัญหาไฟดับ การขึ้นราคาเชื้อเพลิงที่ไม่อาจจัดหาพลังงานได้เพียงพอต่อความต้องการ 
 
ในปี 2023 เชื่อว่าความท้าทายด้านพลังงานยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าเราอาจได้เห็นทางแยกด้านพลังานในสองรูปแบบ แบบแรกคือบางชาติที่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก จะย้อนกลับมาพึ่งพาพลังงานฟอสซิสที่ราคาถูกอย่างถ่านหินมากขึ้น ซึ่งจะสวนทางนโยบายของหลายชาติที่ก่อนหน้านี้เคยมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาด  
 
ในทางแยกที่สอง ปีหน้าเราอาจได้เห็นบางประเทศที่ใช้วิกฤตด้านพลังงานในครั้งนี้ ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วสู่การใช้พลังงานสะอาดสีเขียวมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปซึ่งยึดมั่นในแนวทางพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน อาจออกนโยบายสร้างแรงจูงใจให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจต่างติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือเราอาจได้เห็นรัฐบาลชาติยุโรปกระตุ้นการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น  
 
อย่างไรก็ตามมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดเหล่านี้มีราคาสูงขึ้นเช่นกัน ก็ต้องติดตามต่อไปว่าภาคเศรษฐกิจและการเมืองจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในนโยบายนี้ได้มากน้อยเพียงใด 
crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Photo03_eef6f66cbe.jpeg
ชาวอเมริกันเลือกซื้ออาหารในร้านขายของชำย่านบรูกลิน ในนครนิวยอร์ก ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น

วิกฤตเศรษฐกิจ โลกหนีไม่พ้นภาวะถดถอย 

 
ในศักราชใหม่ 2023 ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ลงตามการวิเคราะห์ของหลายส่วน เนื่องจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครนยังคงสร้างความตึงเครียดให้กับการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ในขณะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อย่างจีนก็ยังเปิดเศรษฐกิจได้ไม่เต็มรูปแบบเนื่องจากปัจจัยโควิด-19  
 
ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็ยังคงมีสัญญาณของตลาดแรงงานที่ตึงตัวและกิจกรรมทางธุรกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มทะยานอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายส่วนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ตลอดจนสหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปจะชะลอตัวไปจนถึงถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความมืดมนทางเศรษฐกิจที่เชื่อว่าจะคืบคลานเข้าในปีหน้า แต่ก็ยังมีจุดสว่างในเศรษฐกิจโลกของปีหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศในแถบละตินอเมริกาและจีน  
 
หน่วยงานประเมินทางเศรษฐกิจหลายแห่งเชื่อว่าในปีหน้า หลายประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งส่งออกวัตถุดิบสำคัญตั้งแต่เหมืองแร่ ป่าไม้ พลังงานและธัญพืชสำคัญ ซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุในหลายอุตสาหกรรมล้วนเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจำนวนมาก อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่าวัตถุดิบเหล่านี้ยังคงเป็นประโยชน์ตราบเท่าที่ราคาของสินค้าเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่า GDP ในภูมิภาคละตินอเมริกาอาจขยายตัว 1.2% แม้ว่าส่วนอื่นๆ ของโลกจะมีแนวโน้มหดตัวก็ตาม 
crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Photo04_47ccda7cfe.jpeg
น้ำท่วมในเมืองเมดาน ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2022

climate change ตัวเร่งวิกฤตมนุษยธรรม 

 
ช่วงฤดูฝนของปี 2022 ที่ผ่านมา ประเทศไทยหลายภูมิภาคเผชิญภาวะอากาศแบบสุดขั้วอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลเผชิญฝนตกหนักจนเกิดน้ำขังรอการระบายในหลายพื้นที่ เรียกได้ว่าหน้าฝนปีนี้คนกรุงเจอผลกระทบจากฝนที่ตกหนัก และน้ำท่วมสูงกันอย่างถ้วนหน้า 
 
ช่วงปีที่ผ่านมาในบางประเทศอย่างปากีสถานได้เผชิญกับเหตุอุทกภัยใหญ่ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ คร่าชีวิตผู้คนไปไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทั้งยังสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอีกกว่า 33 ล้านคน มูลค่าความเสียหายนับไม่ถ้วน  
 
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นประเทศที่มีประชากรระดับกลางจนถึงยากจน ต้องเผชิญกับผลกระทบอันหนักหน่วยจากภัยทางธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  
 
ตามการศึกษาของคณะกรรมการช่วยเหลือระหว่างประเทศ (IRC) ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมทั่วโลกในปี 2023 เพิ่มเติมจากปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งทางอาวุธและความตกต่ำทางเศรษฐกิจ  
 
IRC ชี้ว่า ที่ผ่านมามีประชากรทั่วโลกที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเข้าใกล้ 339.2 ล้านคน ในปี 2022 เมื่อเทียบกับ 81 ล้านคนในปี 2014  
 
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะฉุกเฉินด้านมนุษยธรรม IRC ระบุ แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่า 20 ประเทศที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังฉุกเฉิน อย่างเฮติและอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นชาติที่มีส่วนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 2% ทั่วโลก 
 
การเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากชาติร่ำรวย สร้างผลกระทบโดยตรงต่อประชากรในประเทศเหล่านี้ในหลายรูปแบบ ทั้งอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น พายุที่เกิดบ่อยครั้งมากขึ้น ไปจนถึงความแห้งแล้งที่นำมาสู่ภาวะความขาดแคลนอาหารโดยเฉพาะชาติที่มีปัญหาด้านการขาดอาหารมายาวนานอย่างโซมาเลียและเอธิโอเปีย ให้ยิ่งวิกฤตขึ้นไปอีก หรืออย่างในเฮติที่ความรุนแรงทางการเมืองผนวกเข้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้ประเทศ เข้าสู่สภาวะโกลาหลอย่างเลี่ยงไม่ได้ 
crisis_in_2023_still_challenge_SPACEBAR_Photo05_e1c3bbdddf.jpeg
คนไร้บ้านในนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ

วิกฤตความยากจนและความหิวโหย   

 
จากเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มาจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความวุ่นวายทางการเมืองภายใน เหล่านี้เป็นปัจจัยให้บางประเทศซึ่งเผชิญความยากลำบากของรายได้ประชากรอยู่แล้วให้ยิ่งตกต่ำเข้าไปอีก เช่นในอัฟกานิสถาน ซึ่งผลัดเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมาสู่อิทธิพลตาลีบันมากว่าหนึ่งปี แต่ชาวอัฟกันยังคงอยู่ในภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจ แม้ว่าความช่วยเหลือจากนานาชาติจะหลั่งไหลเข้าไปในประเทศ  แต่ต้นตอของวิกฤตยังคงมีอยู่  
 
เช่นเดียวกับสตรีและเด็กผู้หญิงชาวอัฟกานิสถานซึ่งเผชิญกับความยากลำบากในแง่สิทธิ หลายคนถูกกีดกันการเข้าถึงเรื่องการศึกษาจากคำสั่งของรัฐบาล ไร้สิทธิในด้านการแต่งกาย การเดินทาง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองสำหรับผู้หญิง นั่นทำให้สตรีหลายคนในอัฟกานิสถานเสียโอกาสทั้งด้านรายได้และการศึกษา 
 
เพื่อนบ้านของไทยอย่างเมียนมาก็ตกอยู่สภาพที่น่าห่วงไม่ต่างกัน ข้อมูลจากธนาคารโลกเมื่อกลางปี 2022 เผยว่า ประชากรพม่า 40 % หรือราว 22 ล้านคนจากทั้งหมด มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนหลังจากเหตุรัฐประหาร ตัวเลขความยากจนที่สูงในระดับนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษนับตั้งแต่พม่าได้รัฐบาลพลเรือน โดยในปี 2017  ดัชนีความยากจนของคนในพม่าเหลือ 24.8% ลดลงจาก 32.1% ในปี 2015 และ 48.2% ในปี 2005 ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ท่ามกลางที่บรรดาทุนต่างชาติหนีหายย้ายฐานออกนอกประเทศ 
 
ไม่ต่างกับเลบานอน ซึ่งเผชิญภาวะเงินเฟ้อและการขาดแคลนพลังงานที่เรื้อรังมานาน ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระหนักทั้งค่าครองชีพและค่าพลังงาน รายงานจากธนาคารโลกชี้ว่า ระดับความยากจนและความไม่มั่นคงทางอาหารในเลบานอนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ประกอบกับความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้  
 
กรณีในลักษณะคล้ายกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับประเทศศรีลังกาอย่างที่เราเห็นเป็นข่าวว่า ประชาชนศรีลังกากำลังเผชิญความยากลำบากในการใช้ชีวิต หลายส่วนขาดทั้งอาหารและพลังงานในการใช้ชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยังไร้วี่แววว่ารัฐบาลท้องถิ่นจะแก้ปัญหาได้ภายในปีหน้า 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์