จากผลการตรวจสอบของ NewsGuard เครื่องมือจัดอันดับความน่าเชื่อถือสําหรับเว็บไซต์ข่าวสารและข้อมูลพบว่า แชทบอท ‘DeepSeek’ สตาร์ทอัพ AI ของจีนมีความแม่นยำในการส่งข่าวสารและข้อมูลเพียง 17% ซึ่ง NewsGuard จัดให้ DeepSeek อยู่ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 11 อันดับเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในฝั่งตะวันตกรวมถึง ChatGPT ของ OpenAI และ Google Gemini
ตามรายงานของ NewsGuard ระบุว่า แชทบอต DeepSeek จะพูดคำกล่าวอ้างเท็จซ้ำๆ 30% และให้คำตอบที่คลุมเครือหรือไม่เป็นประโยชน์ 53% ในการตอบสนองต่อคำกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับข่าว ส่งผลให้มีอัตราความล้มเหลว 83% ซึ่งแย่กว่าอัตราความล้มเหลวเฉลี่ย 62% ของคู่แข่งทางตะวันตก จนทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่ DeepSeek อ้างว่ามีประสิทธิภาพเท่าเทียม หรือดีกว่า OpenAI
ภายในไม่กี่วันหลังจากเปิดตัวแชทบอท DeepSeek ก็กลายเป็นแอปฯ ที่มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดใน App Store สร้างความกังวลให้สหรัฐฯ ที่ต้องการเป็นผู้นำด้าน AI ทั้งยังจุดชนวนให้เกิดการเทขายในตลาดจนทำให้หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หายไปราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33 ล้านล้านบาท)
NewsGuard เผยว่า ได้นำคำถาม 300 ข้อมาใช้กับ DeepSeek ซึ่งก็เหมือนกับที่ใช้ประเมินคู่แข่งฝั่งตะวันตก รวมถึงคำถาม 30 ข้อที่อ้างอิงจากคำกล่าวอ้างเท็จ 10 ข้อที่แพร่กระจายทางออนไลน์
การตรวจสอบของ NewsGuard ยังแสดงให้เห็นอีกว่าในคำถาม 3 จาก 10 ข้อ DeepSeek ได้ย้ำจุดยืนของรัฐบาลจีนในหัวข้อดังกล่าวโดยไม่ได้ถามอะไรที่เกี่ยวข้องกับจีนเลย เช่น DeepSeek ตอบกลับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเหตุเครื่องบินตกของสายการบินอาเซอร์ไบจานแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน
“ความสำคัญของความก้าวหน้าของ DeepSeek ไม่ได้อยู่ที่การตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารจีนได้อย่างแม่นยำ แต่เป็นการที่ DeepSeek สามารถตอบคำถามใดๆ ก็ได้โดยมีต้นทุนเพียง 1 ใน 30 ของโมเดล AI ที่เทียบเคียงได้” กิล ลูเรีย นักวิเคราะห์จาก DA Davidson กล่าว
บริษัทต่างๆ หลายร้อยแห่งทั่วโลกจำกัดการเข้าถึง ‘Deepseek’

บริษัทต่างๆ หลายร้อยแห่ง และหน่วยงานของรัฐทั่วโลกกำลังดำเนินการจำกัดการเข้าถึง DeepSeek เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลไปยังรัฐบาลจีน และมองว่ามาตรการป้องกันความเป็นส่วนตัวต่ำ
นาดีร์ อิซราเอล หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทไซเบอร์ Armis Inc. กล่าวว่า “ลูกค้าของ Armis ราว 70% ได้ร้องขอให้บล็อกการเข้าถึง ขณะที่ เรย์ แคนซาเนเซ่ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการด้านภัยคุกคามของ Netskope เผยว่า ลูกค้าของ Netskope 52% กำลังบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์ทั้งหมด
“ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดคือข้อมูลของโมเดล AI ที่อาจรั่วไหลไปยังรัฐบาลจีน คุณจะไม่รู้ว่าข้อมูลของคุณไปอยู่ที่ไหน” อิซราเอล
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับ DeepSeek ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังยอดดาวน์โหลดทะยานขึ้นสู่อันดับสูงสุดบน Apple Store อีกทั้ง DeepSeek ยังระบุในเงื่อนไขความเป็นส่วนตัวของตัวเองว่า บริษัทได้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ในประเทศจีน พร้อมเสริมว่าข้อพิพาทใดๆ ในเรื่องนี้จะถูกควบคุมโดยกฎหมายของรัฐบาลจีน
ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของ DeepSeek ระบุว่า บริษัทจะบันทึกข้อมูลการกดแป้นพิมพ์ ข้อความและเสียงที่ป้อน ไฟล์ที่อัปโหลด ข้อเสนอแนะ ประวัติการแชท และเนื้อหาอื่นๆ ของผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมโมเดล AI และอาจเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้บังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานของรัฐตามดุลยพินิจของบริษัท
หน่วยงานกำกับดูแลความเป็นส่วนตัวของอิตาลีสั่งบล็อก DeepSeek ‘โดยด่วนและมีผลทันที’ เพื่อปกป้องข้อมูลของชาวอิตาลี ขณะที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของไอร์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่บังคับใช้กฎระเบียบความเป็นส่วนตัวของสหภาพยุโรปกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกหลายแห่งเปิดเผยว่าได้ขอข้อมูลจาก DeepSeek เพื่อพิจารณาว่าบริษัทได้ปกป้องข้อมูลของผู้ใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่
ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมาธิการข้อมูลของสหราชอาณาจักรกล่าวในแถลงการณ์ว่า นักพัฒนา AI เชิงสร้างสรรค์จะต้องมีความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการที่พวกเขาใช้ข้อมูลส่วนบุคคล และเสริมว่าสำนักงานจะดำเนินการเมื่อใดก็ตามที่มีการเพิกเฉยต่อความคาดหวังตามกฎระเบียบ
นอกจากนี้ นักวิจัยด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ยังออกมาเตือนว่า แชทบอต AI ของ DeepSeek ดูเหมือนจะมีมาตรการป้องกันน้อยลงอีกด้วย
สหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่า DeepSeek ซื้อชิปของ Nvidia ผ่านบุคคลที่สามในสิงคโปร์หรือไม่?

เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่า DeepSeek ได้ซื้อเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง (ชิป) ของ Nvidia Corp. ผ่านบุคคลที่สามในสิงคโปร์หรือไม่...ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสหรัฐฯ ในการขายชิปที่ใช้สำหรับงานด้านปัญญาประดิษฐ์
เมื่อไม่นานมานี้ DeepSeek เปิดตัวแชทบอทที่ชื่อว่า ‘R1’ ซึ่งในบางแง่มุมก็ทำงานได้ดีพอๆ กับโมเดล AI ที่เทียบเคียงได้ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าจีนก็มีความก้าวหน้าในการแข่งขันด้าน AI มากกว่าที่เคยเชื่อกัน
วิศวกรที่มีชื่อเสียงบางคนรู้สึกทึ่งกับความสามารถของ DeepSeek และยกย่องแอปฯ ดังกล่าวว่าแม้ใช้ต้นทุนสร้างต่ำ แต่มีประสิทธิภาพ ทำให้คู่แข่งต่างคาดเดากันว่าแอปฯ นี้สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีของตะวันตกหรือไม่
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวและสำนักงานสอบสวนกลางก็กำลังพยายามตรวจสอบว่า DeepSeek ใช้คนกลางในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อซื้อชิป Nvidia ซึ่งสหรัฐฯ ห้ามขายให้กับจีนหรือไม่
แม้ว่า DeepSeek จะยังไม่ระบุแน่ชัดว่าใช้ชิป AI ตัวใดในการพัฒนาโมเดล แต่บรรดานักวิจัยได้ระบุในเอกสารว่า โมเดล V3 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้วได้รับการฝึกฝนบนชิป H800 ของ Nvidia จำนวน 2,048 ตัว ซึ่ง Nvidia ได้สร้าง H800 ขึ้นสำหรับตลาดจีนหลังจากที่รัฐบาลของ โจ ไบเดน จำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงชิปในเวอร์ชันที่มีประสิทธิภาพสูง
ในปี 2023 รัฐบาลไบเดนได้กำหนดข้อจำกัดกับประเทศต่างๆ มากกว่า 40 ประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่กังวลว่าประเทศเหล่านี้อาจทำหน้าที่เป็นคนกลางในการส่งชิปไปยังจีน ซึ่งรวมถึงตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ แต่ไม่รวมสิงคโปร์
เมื่อต้นปีนี้ ไบเดนได้ขยายกฎเกณฑ์ให้ครอบคลุมทั่วโลกมากขึ้น ยกเว้นพันธมิตรของสหรัฐฯ เพียงไม่กี่ราย ทั้งนี้พบว่ามีการขนส่งจำนวนมากไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่ต้องมีใบอนุญาต แต่การขนส่งเครื่องประมวลผลไม่ถึง 1,700 เครื่องนั้นจำเป็นต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเท่านั้น
จากเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลระบุว่า สิงคโปร์คิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้ของ Nvidia แต่การจัดส่งที่เกี่ยวข้องกับรายได้ของสิงคโปร์ส่วนใหญ่นั้นส่งไปยังสถานที่อื่นนอกเหนือจากสิงคโปร์ และการจัดส่งไปยังสิงคโปร์นั้นไม่มีนัยสำคัญ
โฆษกของ Nvidia กล่าวว่า “รายได้ที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ไม่ได้บ่งชี้ว่ากำลังเปลี่ยนเส้นทางไปยังจีน เอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะของเรารายงานสถานที่ ‘เรียกเก็บเงิน’ ไม่ใช่ ‘จัดส่งไปยังสถานที่ของลูกค้าเรา’...ลูกค้าหลายรายของเรามีนิติบุคคลทางธุรกิจอยู่ในสิงคโปร์และใช้นิติบุคคลเหล่านั้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีปลายทางไปยังสหรัฐฯ และตะวันตก”
“ประเทศเช่นสิงคโปร์ ควรต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการออกใบอนุญาตที่เข้มงวด เว้นแต่จะมีเจตนาที่จะปราบปรามการขนส่งสินค้าไปยังจีน” ส.ส.จอห์น มูเลนนาร์ และราจา กฤษณมูรติ เขียน