ระลอกใหม่ทั่วโลก? สหรัฐฯ เจอ ‘โควิดสายพันธุ์ใหม่’ ที่ระบาดหนักในจีน-ยอดป่วยไต้หวันพุ่ง 2 เท่า

28 พ.ค. 2568 - 10:38

  • โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ‘NB.1.8.1’ สายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน (Omicron) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยในจีน ได้ถูกตรวจพบในสหรัฐฯ แล้ว ผ่านการตรวจคัดกรองผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน เวอร์จิเนีย และนิวยอร์ก

  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเดินทางมาจาก 9 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสเปน ระหว่างวันที่ 22 เมษายนถึง 12 พฤษภาคม 2025

  • เจ้าหน้าที่ในไต้หวันรายงานว่าจำนวนผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉินจากโควิดพุ่งสูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 78% ในหนึ่งสัปดาห์ในช่วงเจ็ดวันจนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลในฮ่องกงก็เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 12 เดือน ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่

ระลอกใหม่ทั่วโลก? สหรัฐฯ เจอ ‘โควิดสายพันธุ์ใหม่’ ที่ระบาดหนักในจีน-ยอดป่วยไต้หวันพุ่ง 2 เท่า

โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ‘NB.1.8.1’ สายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน (Omicron) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยในจีน ได้ถูกตรวจพบในสหรัฐฯ ผ่านการตรวจคัดกรองผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน เวอร์จิเนีย และนิวยอร์ก รวมถึงรายงานการพบผู้ติดเชื้อในรัฐโอไฮโอ โรดไอแลนด์ และฮาวายด้วย 

 

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเดินทางมาจาก 9 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสเปน ระหว่างวันที่ 22 เมษายนถึง 12 พฤษภาคม 2025 

 

แม้จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ จะยังน้อยกว่า 20 ราย และยังไม่แพร่ระบาดอย่างกว้างขวางจนถึงขั้นแสดงบนแดชบอร์ดข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสายพันธุ์นี้สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน  

 

ข้อมูลจากจีนแสดงให้เห็นว่า สัดส่วนของผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจที่มีอาการรุนแรงจากโควิดเพิ่มขึ้นจาก 3.3% เป็น 6.3% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ สัดส่วนผู้ป่วย ER ชาวจีนที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ยังเพิ่มขึ้นจาก 7.5% เป็น 16.2%  ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงและการระบาดของสายพันธุ์นี้ 

 

เจ้าหน้าที่ในไต้หวันรายงานว่าจำนวนผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉินจากโควิดพุ่งสูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 78% ในหนึ่งสัปดาห์ในช่วงเจ็ดวันจนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลในฮ่องกงก็เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 12 เดือน ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ 

  

ทั้งนี้พบว่า ไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน โดยอัตราการตรวจพบเชื้อในตัวอย่างลดลง 12% ในสัปดาห์ล่าสุด 

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุให้ ‘NB.1.8.1’  เป็น ‘สายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง’ (Variant Under Monitoring) และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

 

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีนเปิดเผยว่า พบผู้ป่วยโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา จาก 7.5% เป็นมากกว่า 16% นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ China Daily ของรัฐบาลจีนยังรายงานว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในจีนก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน เป็นมากกว่า 6% 

 

แม้จะมีสถิติเหล่านี้ แต่รัฐบาลฮ่องกงซึ่งจีนปกครองอยู่กลับลดความสำคัญของไวรัสสายพันธุ์นี้ลง โดยระบุว่า “ไวรัสสายพันธุ์นี้ไม่ได้อันตรายไปกว่าไวรัสสายพันธุ์ก่อนๆ เลย” 

 

ดร.เอ็ดวิน ซุย หัวหน้าศูนย์คุ้มครองสุขภาพฮ่องกง (CHP) กล่าวว่า‘ไม่ควรละเลย’ ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าไวรัสอาจวิวัฒนาการจนสามารถหลบหลีกการป้องกันจากวัคซีนโควิดได้มากขึ้น...CHP จะเฝ้าระวังสถานการณ์ของสายพันธุ์ไวรัสอย่างใกล้ชิดตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และจะระมัดระวังการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากขึ้นหรือสายพันธุ์ที่วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้ในอนาคต” 

 

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศแผนจำกัดการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นประจำปีให้เฉพาะผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ เท่านั้น 

 

ไต้หวันพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า 

(Photo by Sam Yeh / AFP)
(Photo by Sam Yeh / AFP)

 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคไต้หวัน (Taiwan CDC) รายงานเมื่อวันอังคาร (27 พ.ค.) ว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้ารับการรักษาทางการแพทย์กว่า 40,000 ราย 

 

“การระบาดในปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนผู้ป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ลี เจียหลิน รองผู้อำนวยการศูนย์ข่าวกรองโรคระบาดของ CDC กล่าว 

 

ข้อมูลจาก CDC ระบุว่า “ระหว่างวันที่ 18-24 พฤษภาคม มีผู้ป่วยที่เข้ารับบริการผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 จำนวน 41,402 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจาก 19,097 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า” 

 

นี่ถือเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกันที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำนวนผู้เข้ารับบริการในสัปดาห์ก่อนหน้ายังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2024 ที่มีจำนวน 23,555 รายด้วย 

 

โล่ อี้ชุน โฆษกศูนย์ Taiwan CDC  อธิบายว่า “แม้ว่าการเพิ่มจำนวนการตรวจหาเชื้อในช่วงการระบาดจะทำให้พบผู้ป่วยที่ไม่เคยตรวจพบมาก่อน แต่สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยคือการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของไวรัส...สายพันธุ์ ‘NB.1.8.1’ มีความสามารถสูงในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไวรัสสามารถผ่านการป้องกันที่มีอยู่ได้ง่ายขึ้น และยังแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า” 

 

นอกจากนี้ โล่ยังชี้ว่า “การที่ไม่มีการระบาดใหญ่ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ได้สัมผัสกับสายพันธุ์ล่าสุด จึงขาดภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ” 

 

ในตอนแรก CDC ประเมินว่าการระบาดครั้งนี้จะถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางถึงปลายเดือนมิถุนายน โดยคาดว่าจะมีผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์รายสัปดาห์สูงถึง 100,000 ราย แต่จากการคาดการณ์ล่าสุดชี้ว่าจุดสูงสุดจะเลื่อนออกไปเป็นปลายเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจำนวนผู้เข้ารับบริการรายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 150,000-200,000 ราย 

 

Photo by : Shutterstock / blvdone 

 

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์