ไทยเตรียมตับแตก! ‘เอลนีโญ’ กำลังกลับมาทวงบัลลังก์ ‘ร้อนที่สุด’

9 มิถุนายน 2566 - 09:18

el-niño-planet-warming-weather-has-begun-SPACEBAR-Hero
  • เอลนีโญได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและน่าจะทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในโลก

  • ดูเหมือนว่าสภาวะเอลนีโญจะอยู่ยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้า จากนั้นผลกระทบก็จะลดลง

  • “ตอนนี้อุณหภูมิกำลังเพิ่มขึ้น เราคาดการณ์มาหลายเดือนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความรุนแรงของมันจะถึงจุดสูงสุดในช่วงสิ้นปีนี้”

ชาวโลกเตรียมตัวให้ดี…เอลนีโญมาแล้ว! 

‘ปรากฏการณ์เอลนีโญ’ (El Niño Southern Oscillation หรือ ENSO) ได้เริ่มขึ้นแล้วในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งคาดว่าน่าจะเพิ่มความร้อนให้กับโลกที่ร้อนอยู่แล้วภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 
 
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เอลนีโญได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและน่าจะทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในโลก ซึ่งพวกเขากลัวว่ามันจะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังจะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโลก โดยอาจนำความแห้งแล้งมาสู่ออสเตรเลียและเอเชียบางส่วน ฝนตกมากขึ้นทางตอนใต้ของสหรัฐฯ รวมถึงทำให้มรสุมของอินเดียอ่อนกำลังลง 
 
และดูเหมือนว่าสภาวะเอลนีโญจะอยู่ยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้าเลย จากนั้นผลกระทบก็จะลดลง “ตอนนี้อุณหภูมิกำลังเพิ่มขึ้น เราคาดการณ์มาหลายเดือนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความรุนแรงของมันจะถึงจุดสูงสุดในช่วงสิ้นปีนี้”  
 
“สถิติใหม่ของอุณหภูมิโลกในปีหน้านั้นเป็นไปได้อย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะรุนแรงเพียงใด มีโอกาสสูงที่เอลนีโญครั้งใหญ่ในปลายปี 2024 จะสร้างสถิติใหม่” อดัม สไคฟ์ หัวหน้าฝ่ายคาดการณ์ระยะยาวที่สำนักงาน Met ของสหราชอาณาจักรกล่าว 
 
อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ถือเป็นความผันผวนที่ทรงพลังที่สุดในระบบภูมิอากาศทุกที่บนโลก โดยช่วงอากาศร้อนที่เรียกว่าเอลนีโญจะเกิดขึ้นทุกๆ 2-7 ปี ส่งผลให้กระแสน้ำอุ่นลอยขึ้นสู่ผิวน้ำนอกชายฝั่งของอเมริกาใต้และแผ่กระจายไปทั่วมหาสมุทรทำให้เกิดมวลความร้อนจำนวนมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ 
 
ในปี 2016 เป็นปีที่ถูกบันทึกว่าอบอุ่นที่สุดเนื่องจากอากาศร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นในปีหลังจากปรากฏการณ์เอลนีโญอันทรงพลังผ่านไปแล้ว 

ร้อนแบบไหนที่เรียกว่า ‘ร้อน’ 

หน่วยงานด้านสภาพอากาศทั่วโลกจะใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันเพื่อตัดสินว่าความร้อนนี้จะมาถึงเราเมื่อใด 
 
สำหรับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะยึดจากการที่อุณหภูมิมหาสมุทรร้อนกว่าปกติ 0.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยบรรยากาศต้องได้รับการตอบสนองต่อความร้อนนี้ ขณะที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ระบุว่า “สภาวะเอลนีโญมีอยู่จริง” 
 
“นี่เป็นสัญญาณที่อ่อนมาก แต่เราเชื่อว่าเราเริ่มเห็นสภาวะเหล่านี้และมันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น” มิเชล เลอเคอ นักวิทยาศาสตร์จาก NOAA กล่าว 
 
ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่ามีโอกาสเกิดเอลนีโญถึง 84% ที่จะเกินระดับปานกลางภายในสิ้นปีนี้ และมีโอกาส 1 ใน 4 ของสภาวะนี้ที่เกิน 2 องศาเซลเซียสที่จุดสูงสุดซึ่งถือว่าเข้าสู่ดินแดนของ ‘ซูเปอร์เอลนีโญ’ โดยผลกระทบของการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอาจล่าช้ากว่า 2-3 เดือน แต่จะรู้สึกได้ทั่วโลก 
 
มีความเป็นไปได้สูงที่สภาวะอากาศในปีนี้จะมีส่วนทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในโลกและอาจทำลายสถิติปี 2016 อย่างไรก็ดี ขณะนี้อุณหภูมิโลกอยู่ที่ประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1850-1900 
 
แต่เหตุการณ์เอลนีโญอาจเพิ่มขึ้นถึง 0.2 องศาเซลเซียสจากตัวเลขดังกล่าวที่ผลักดันให้โลกเข้าสู่เขตอุณหภูมิที่ไม่เคยมีมาก่อน และอาจแตะ 1.5 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นข้อตกลงด้านสภาพอากาศของอนุสัญญากรุงปารีส 
 
“เรามีแนวโน้มที่จะเห็นอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่อาจกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า…ฉันคิดว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงตื่นตระหนก เพราะนี่คือเกณฑ์ใหม่ของเรา และปรากฏการณ์เอลนีโญก็กำลังจะเกิดขึ้น” เลอเคอกล่าว 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์