ความขัดแย้งในซูดานที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างกองกำลังผู้บัญชาการกองทัพ อับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูร์ฮา และ โมฮัมเหม็ด ฮัมดาน ดาโกล ผู้บัญชาการของ Rapid Support Forces (RSF) รองผู้บัญชาการกองทัพที่ในเวลานี้กลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของอัล-บูร์ฮา
สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 427 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 3,700 คน และหลายคนกำลังต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนน้ำ อาหาร ยาและเชื้อเพลิง เช่นเดียวกับไฟฟ้า และสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ดับลง
ล่าสุดแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า บูร์ฮาน และดาโกลได้บรรลุข้อตกลง ‘หยุดยิง’ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 24 เมษายน
สำนักข่าว AFP รายงานว่า พลเรือนที่ตาพร่ามัวและอ่อนล้า ในมือกำกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นเต็มใบ เล่าถึงการหลบหนีออกจากซูดานที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ข้ามทะเลแดงไปยังซาอุดีอาระเบียอย่างน่าเวทนา พร้อมร่ำไห้ถึงความทรงจำเกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศและการสู้รบกันในเมือง
สตรีสูงอายุ เด็กทารก และผู้คนอีกกว่า 200 คน จากกว่า 20 ประเทศ ลงเรือฟริเกตในเมืองชายฝั่งเจดดาห์ เมื่อคืนวันจันทร์ (24 เม.ย.) หลังจากที่ออกเดินทางอย่างยากลำบาก
“เราเดินทางไกลจากคาร์ทูมไปยังพอร์ตซูดาน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 หรือ 11 ชั่วโมง” ซูไฮบ ไอชา ชาวเลบานอน ผู้ดำเนินกิจการโรงงานพลาสติกในซูดานมากว่าทศวรรษ กล่าว
“เราใช้เวลาอีก 20 ชั่วโมงบนเรือลำนี้จากพอร์ตซูดานถึงเจดดาห์” เขาบอกกับ AFP ขณะที่ลูกสาวคนเล็กของเขากำลังส่งเสียงร้องไห้
ผู้โดยสารหญิงชาวเลบานอนอีกรายกล่าวว่า มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับความกลัว ความตึงเครียด และความวิตกกังวล เราไม่ได้กินอาหาร หรือดื่มอะไรเลย และใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหลายวัน
แม้จะต้องผ่านความยากลำบากเช่นนี้ แต่ผู้ที่เดินทางไปถึงแผ่นดินซาอุดีอาระเบียต่างก็กล่าวว่าา พวกเขารู้สึก ‘ขอบคุณ’ ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศที่สมาพันธ์แพทย์รายงานว่าเป็นสถานที่ ‘เก็บศพ’ และ ‘ศพเกลื่อนถนน’
สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 427 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 3,700 คน และหลายคนกำลังต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนน้ำ อาหาร ยาและเชื้อเพลิง เช่นเดียวกับไฟฟ้า และสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ดับลง
ล่าสุดแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า บูร์ฮาน และดาโกลได้บรรลุข้อตกลง ‘หยุดยิง’ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 24 เมษายน
สำนักข่าว AFP รายงานว่า พลเรือนที่ตาพร่ามัวและอ่อนล้า ในมือกำกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นเต็มใบ เล่าถึงการหลบหนีออกจากซูดานที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ข้ามทะเลแดงไปยังซาอุดีอาระเบียอย่างน่าเวทนา พร้อมร่ำไห้ถึงความทรงจำเกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศและการสู้รบกันในเมือง
สตรีสูงอายุ เด็กทารก และผู้คนอีกกว่า 200 คน จากกว่า 20 ประเทศ ลงเรือฟริเกตในเมืองชายฝั่งเจดดาห์ เมื่อคืนวันจันทร์ (24 เม.ย.) หลังจากที่ออกเดินทางอย่างยากลำบาก
“เราเดินทางไกลจากคาร์ทูมไปยังพอร์ตซูดาน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 หรือ 11 ชั่วโมง” ซูไฮบ ไอชา ชาวเลบานอน ผู้ดำเนินกิจการโรงงานพลาสติกในซูดานมากว่าทศวรรษ กล่าว
“เราใช้เวลาอีก 20 ชั่วโมงบนเรือลำนี้จากพอร์ตซูดานถึงเจดดาห์” เขาบอกกับ AFP ขณะที่ลูกสาวคนเล็กของเขากำลังส่งเสียงร้องไห้
ผู้โดยสารหญิงชาวเลบานอนอีกรายกล่าวว่า มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับความกลัว ความตึงเครียด และความวิตกกังวล เราไม่ได้กินอาหาร หรือดื่มอะไรเลย และใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหลายวัน
แม้จะต้องผ่านความยากลำบากเช่นนี้ แต่ผู้ที่เดินทางไปถึงแผ่นดินซาอุดีอาระเบียต่างก็กล่าวว่าา พวกเขารู้สึก ‘ขอบคุณ’ ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศที่สมาพันธ์แพทย์รายงานว่าเป็นสถานที่ ‘เก็บศพ’ และ ‘ศพเกลื่อนถนน’

อิทธิพลของซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียประกาศการอพยพพลเรือนออกจากซูดานสำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ (22 เม.ย.) โดยต้อนรับผู้อพยพ 150 รายรวมทั้งนักการทูตและเจ้าหน้าที่ในเจดดาห์ขณะที่ก่อนหน้านี้เครื่องบินทหาร C-130 Hercules ได้บินพลเรือนชาวเกาหลีใต้หลายสิบคน รวมทั้งเด็กเล็กและแม่ชีในชุดขาวฟ้า ไปยังฐานทัพอากาศกษัตริย์ อับดุลลาห์ในเมืองเจดดาห์
สำนักข่าวซาอุดีอาระเบียรายงานว่า มีผู้อพยพออกจากซูดานแล้ว 356 ราย โดยเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย 101 ราย และชาวต่างชาติ 255 ราย จากกว่า 20 ประเทศ
สื่อของทางการซาอุดีอาระเบียได้รายงานข่าวความพยายามนี้แบบครอบคลุมทั่วถึง รวมถึงข้อความแสดงความขอบคุณจากประเทศต่างๆ
ขณะที่เรือฟริเกตแล่นเข้าใกล้ท่าเรือเจดดาห์ในคืนวันจันทร์ สำนักข่าวอัล-เอคห์บาริยา ในเครือของรัฐได้แพร่ภาพผู้โดยสารโบกมือและยิ้ม ขณะที่คนอื่นๆ บันทึกภาพเหตุการณ์จากโทรศัพท์
ชายชาวซาอุดีอาระเบียที่จ้องมองมาที่กล้องคนหนึ่งโบกธงซาอุดีอาระเบีย อีกมือถือหนังสือเดินทางสีเขียวของเขาอีกข้างหนึ่ง และประกาศว่า ‘นี่คือหนังสือเดินทางที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’
อับโด คาร์ล คอลัมนิสต์เขียนในหนังสือพิมพ์เอกชน Okaz โดยกล่าวว่า การจัดเครื่องบินและเรืออพยพที่ค่อนข้างรวดเร็วของซาอุดีอาระเบียเน้นย้ำถึง ‘คุณค่าระหว่างประเทศ’ ของซาอุดีอาระเบีย
“แน่นอนว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียที่จะวางตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในสถานการณ์วิกฤตระดับภูมิภาค และใช้ประโยชน์จากอำนาจที่มีอยู่เหนือทั้งสองฝ่ายของความขัดแย้งนี้” โอมาร์ คาร์ริม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองซาอุดีอาระเบียกล่าว
แต่เจ้าหน้าที่ของซาอุดีอาระเบียกำลังถูกกดดันให้ทำมากกว่าการอำนวยความสะดวกในการอพยพ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนายพลทั้งสองซึ่งกองกำลังของพวกเขากำลังต่อสู้กัน
“ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทูตหยุดยิงในซูดาน” อลัน บอสเวลล์ จาก International Crisis Group กล่าวกับ AFP พร้อมเสริมว่า รัฐบาลในแอฟริกาและตะวันตกกำลังมองหาความช่วยเหลือจากริยาดในการโน้มน้าวกองทัพของซูดานให้มีโอกาสเจรจา