ปี 2100 มนุษย์จะอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดินและต้องพึ่งเมนเทอร์ที่เป็น AI ในการตัดสินใจ เรื่องราวแบบนี้แม้จะฟังดูเหมือนพล็อตภาพยนตร์ไซไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญเผยกับ DailyMail ว่า มันอาจเกิดขึ้นจริงๆ
เอ็ด จอห์นสัน ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง PushFar แพลตฟอร์มซอฟท์แวร์ให้คำปรึกษาบอกว่า ในปี 2100 ชีวิตของเราจะไม่เพียงผูกพันอยู่กับเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เทคโนโลยียังทำหน้าที่ชี้นำ มีอิทธิพลต่อ และให้คำปรึกษาพวกเราด้วย
ในอนาคตเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโลกอย่างไรบ้าง ต่อไปนี้คือ 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2100 ซึ่งมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี
“มนุษย์ดิจิทัล” จะอยู่รวมกับพวกเรา
หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์และมนุษย์ดิจิทัลจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ทั่วไป โดยหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ผ่าตัดและเป็นเพื่อนกับมนุษย์ ร็อบ ซิมส์ ซีอีโอบริษัทปัญญาประดิษฐ์ Sum Vivas เผยว่า “เทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับมนุษย์ดิจิทัลอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ ไม่จำเป็นต้องมีผู้สนับสนุนหรือให้ความรู้ และการมีมนุษย์ดิจิทัลอยู่เป็นเพื่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน”
มนุษย์ดิจิทัลที่ใช้ AI และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้จะเข้ามารับหน้าที่หลายอย่างตั้งแต่งานทั่วๆ ไปอย่างการนำขยะไปทิ้ง การซักผ้า การล้างจาน ไปจนถึงงานซับซ้อนอย่างการผ่าตัดสมอง “สังคมจำเป็นต้องพัฒนาให้เท่าทันความก้าวล้ำของเทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่เป็นคนใจแคบหรือแข่งขันกับตัวเอง”
เมนเทอร์ที่เป็น AI จะตัดสินใจให้มนุษย์
จอห์นสันบอกว่า ในอนาคต เมนเทอร์ที่เป็น AI จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนให้กับมนุษย์ทุกคน และยังตัดสินใจ รวมทั้งคิดว่จะทำงานไหนให้มนุษย์ด้วย โดยปี 2100 เมนเทอร์ที่เป็น AI จะอาศัยความก้าวล้ำของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยประมวลความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ภายในพริบตา เพียงแค่ตั้งคำถามแล้ว AI จะทำนายผลลัพธ์ วิเคราะห์หนทางที่อาจเป็นไปได้ ความน่าจะเป็น และผลที่จะตามมา รวมทั้งเสนอแนะแนวทางโดยอาศัยฐานข้อมูลมหาศาล ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกงานไหนดี ที่เราต้องทำก็เพียงแค่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายจากข้อมูลที่ AI หามาให้เท่านั้น

เมืองต่างๆ จะย้ายลงไปอยู่ใต้ดิน
บริษัทหุ่นยนต์ HyperTunnel ซึ่งกำลังบุกเบิกเทคโนโลยีสร้างอุโมงค์ระบุว่า ภายในปี 2100 พื้นที่เหนือพื้นดินจะกลายเป็นของราคาสูง ดังนั้นบรรดาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของเมืองจะถูกย้ายลงไปอยู่ใต้ดิน โดยหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ขุดอุโมงค์ ส่วนนักสำรวจจะใช้เทคโนโลยี AR ทำแผนที่พื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยและอาคารต่างๆ ใต้ดิน
หรือเราอาจจะไม่ต้องรอจนถึงปี 2100 เพราะขณะนี้เม็กซิโกมีแผนการสร้างอาคารใต้ดินอยู่แล้วในชื่อ Earthscraper ซึ่งจะมีรูปทรงเป็นพีระมิดหัวกลับจำนวน 65 ชั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพีระมิดแอซเท็ค โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใจกลางเมือง
กล้องจะมีลายน้ำบนวิดีโออัตโนมัติสู้ดีปเฟค
รัฐบาลประเทศต่างๆ จะบังคับให้ผู้ผลิตกล้องเพิ่มฟีเจอร์ลายน้ำดิจิทัลเข้าไปด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับวิดีโอ เนื่องจากดีปเฟคแพร่ระบาดอย่างหนักและแทบจะไม่สามารถแยกได้เลยว่าคลิปไหนจริงคลิปไหนปลอม
ทิม แคลแลน ซีอีโอบริษัทรักษาความปลอดภัย Sectico เผยกับ DailyMail ว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดีปเฟคทำให้เราไม่สมารถเชื่อถือความถูกต้องของสื่อที่บันทึกในรูปแบบดิจิทัลได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย วิดีโอ หรือการบันทึกเสียง “และนี่คือเหตุผลว่าทำไมภายในปี 2100 อุปกรณ์บันทึกทุกชนิดจะต้องมีตราประทับเวลาแบบเข้ารหัสในตัว เพื่อทำหน้าที่เป็นลายน้ำทุกครั้งที่มีการบันทึก ลายน้ำที่ฝังเข้าไปนี้จะช่วยแยกภาพจริงออกจากดีปเฟคเพื่อนำความน่าเชื่อถือในรูปภาพ วิดีโอ และการบันทึกเสียงในรูปแบบดิจิทัลกลับมาอีกครั้ง”
เด็กๆ จะไปโรงเรียนเสมือนจริงและสอนโดยครูอวตาร
นิเมศ พาเทล ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการศึกษา Kabuni เผยว่า เมนเทอร์ที่เป็น AI จะดูแลการศึกษาของเด็กๆ รวมทั้งสอนผ่าน VR “ลองจินตนาการถึงโลกที่รากฐานสำคัญของการศึกษาที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนจริงๆ แต่มีครูที่เป็นอวตาร ซึ่งมิสซิสธอมป์สันจะไม่ใช่แค่ชื่ออีกต่อไป แต่จะเป็นคาแรกเตอร์ของซูเปอร์ฮีโร่ในโลกเสมือนจริง เชี่ยวชาญในเรื่อง AI หลงใหลเกี่ยวกับ VR นี่คือการศึกษาของปี 2100 เรียนด้วยการใช้จริง เบิกบานใจ พหุประสาทสัมผัส โดยนักเรียนจะได้ขึ้นลิฟต์อวกาศเสมือนจริงเพื่อศึกษาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ย้อนเวลาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ และเชื่อมต่อกับเมนเทอร์ที่เป็น AI เพื่อการเรียนการสอนที่ออกแบบให้เหมาะกับแต่ละคน”