วิจัยชี้ยีนที่เคยปกป้องมนุษย์ยุคโบราณ อาจทำให้มนุษย์ยุคปัจจุบันอ่อนแอลง

18 มกราคม 2567 - 06:09

gene-protected-humans-5000-years-ago-linked-debilitating-modern-disease-SPACEBAR-Hero.jpg
  • “ยีนที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องนักล่าและนักเก็บของป่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือคนเลี้ยงสัตว์ในยุคสำริดจากเชื้อโรคที่เป็นอันตราย อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับระบบประสาทในชาวยุโรปยุคปัจจุบัน…”

  • ความเสี่ยงดังกล่าวอาจพบได้ในหมู่ชาวยุโรปโดยเฉพาะยุโรปเหนือ

ยีนที่ปกป้องมนุษย์โบราณ (อาจ) มีส่วนทำให้มนุษย์ยุคปัจจุบันอ่อนแอลง 

สำนักข่าว CNN รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมฐานข้อมูล DNA โบราณที่ใหญ่ที่สุดโดยอ้างอิงจากกระดูกและฟันของมนุษย์เกือบ 5,000 คนที่อาศัยอยู่ทั่วยุโรปตะวันตกและบางส่วนของเอเชียกลางตั้งแต่ 34,000 ปีก่อนจนถึงยุคกลาง

การวิเคราะห์แหล่งรวมข้อมูลทางพันธุกรรมโบราณที่มีรายละเอียดเฉพาะตัวนี้ชี้ให้เห็นว่า

“ยีนที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องนักล่าและนักเก็บของป่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือคนเลี้ยงสัตว์ในยุคสำริดจากเชื้อโรคที่เป็นอันตราย อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับระบบประสาทในชาวยุโรปยุคปัจจุบัน เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และโรคอัลไซเมอร์”

ตามข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องระบุว่า โครงการระยะเวลา 5 ปีนี้มีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ 175 คน ซึ่งได้ผสมผสานจีโนมโบราณที่รู้จักก่อนหน้านี้เข้ากับ DNA ที่จัดลำดับใหม่จากตัวอย่างโครงกระดูกหลายร้อยชิ้นที่มาจากพิพิธภัณฑ์และสถาบันอื่นๆ ทั่วยุโรป เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็นธนาคารยีนโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก  

นักวิจัยใช้ฐานข้อมูลเพื่อจัดทำแผนภูมิการแพร่กระจายของยีนและโรคต่างๆ ในช่วงเวลาที่ประชากรอพยพและขยายเผ่าพันธุ์ ซึ่งเผยให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่น่าทึ่ง เช่น การเปลี่ยนจากวิถีชีวิตแบบนักล่ามาสู่การทำฟาร์ม 

เมื่อเปรียบเทียบ DNA โบราณกับตัวอย่างในปัจจุบัน นักวิจัยก็ทำความเข้าใจทางชีววิทยาใหม่เกี่ยวกับความผิดปกติและลักษณะทางกายภาพที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงในปัจจุบัน โดยผลลัพธ์เบื้องต้นจากโครงการนี้ได้รับการตีพิมพ์ในเอกสาร 4 ฉบับในวารสารวิทยาศาสตร์ ‘Nature’ เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) 

“สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับชุดข้อมูลนี้คือตอนนี้เราสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้จริง เราสามารถเห็นได้ว่าตัวแปรทางพันธุกรรมใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงความถี่ในอดีตอันเนื่องมาจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และนั่นทำให้เราได้ภาพที่ละเอียดมาก” ราสมุส นีลเซน ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาเชิงบูรณาการและนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าวในแถลงการณ์ 

มันไปเชื่อมโยงกับโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งได้อย่างไร?

gene-protected-humans-5000-years-ago-linked-debilitating-modern-disease-SPACEBAR-Photo01.jpg

การค้นพบที่สำคัญประการหนึ่งจากการวิจัยชุดแรกซึ่งอิงจากจีโนมมากกว่า 1,600 รายการในฐานข้อมูล มีความเชื่อมโยงกับ ‘โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง’ (Multiple Sclerosis) หรือที่เรียกกันว่า ‘MS’ ซึ่งเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองตลอดชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนประมาณ 2.5 ล้านคนทั่วโลก ถือเป็นภาวะซับซ้อนที่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรมหลายอย่างทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวของแขนหรือขา ความรู้สึก และการทรงตัว 

การศึกษาระบุว่า ชาวยุโรปเหนือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคนี้มากที่สุด แต่สาเหตุยังไม่ค่อยมีใครเข้าใจ 

นักวิจัยใช้ฐานข้อมูลเพื่อสำรวจต้นกำเนิดทางพันธุกรรมของโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โดยพบว่าความเสี่ยงทางพันธุกรรมของการมีภาวะนี้สัมพันธ์กับสัดส่วนของบรรพบุรุษของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ในสมัยโบราณซึ่งเผยแพร่วัฒนธรรมนำสัตว์มาเลี้ยงในบ้านมาสู่ยุโรปเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน

งานวิจัยระบุว่า “กลุ่มผู้เลี้ยงวัวและแกะเร่ร่อนเหล่านี้รู้จักกันในชื่อ ‘ยัมนายา’ (Yamnaya) มีต้นกำเนิดมาจากที่ราบกว้างใหญ่ปอนติก (Pontic) ซึ่งทอดยาวจากยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงคาซัคสถาน เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเข้าสู่ยุโรป พวกเขาได้นำตัวแปรทางพันธุกรรมเฉพาะที่นักวิจัยเชื่อว่าพัฒนาขึ้นมาเพื่อปกป้องชนเผ่าเร่ร่อนจากเชื้อโรคที่เป็นพาหะของสัตว์เลี้ยงในบ้าน”

และเนื่องจากกลุ่มยัมนายาย้ายไปยังยุโรปเหนือเป็นหลัก ทีมงานจึงสรุปว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของบรรพบุรุษผู้เลี้ยงสัตว์ในชาวยุโรปเหนือในปัจจุบันอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความชุกชุมของโรคสูงขึ้นที่นั่น 

“ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้เราทุกคนประหลาดใจ สิ่งเหล่านี้เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในความเข้าใจของเราเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโรค MS และโรคแพ้ภูมิตัวเองอื่นๆ…การแสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตบรรพบุรุษของเราส่งผลต่อความเสี่ยงของโรคสมัยใหม่อย่างไร ตอกย้ำว่าเราเป็นผู้รับระบบภูมิคุ้มกันในยุคโบราณในโลกสมัยใหม่มากเพียงใด” วิลเลียม แบร์รี ผู้ร่วมวิจัยกล่าวในแถลงการณ์ 

แอสทริด ไอเวิร์สเซน ศาสตราจารย์ด้านไวรัสวิทยาและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเสริมว่า “ตอนนี้เรามีชีวิตที่แตกต่างกันมากสำหรับบรรพบุรุษของเราในแง่ของสุขอนามัย อาหาร และตัวเลือกการรักษาพยาบาล…หมายความว่าเราอาจอ่อนแอต่อโรคบางชนิดมากกว่าบรรพบุรุษของเรา รวมถึงโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่าง MS ”  

แล้วโรคอัลไซเมอร์ล่ะมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์โบราณยังไง?

gene-protected-humans-5000-years-ago-linked-debilitating-modern-disease-SPACEBAR-Photo02.jpg

นักวิจัยยังได้จัดทำแผนที่ต้นกำเนิดของตัวแปรทางพันธุกรรม ‘APOE ε4’ ซึ่งทราบกันดีว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ ยีนดังกล่าวเชื่อมโยงกับประชากรนักล่าและนักเก็บของป่าในยุคแรกๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในยุโรปยุคก่อนประวัติศาสตร์

“DNA จากนักล่าและนักเก็บของป่ามีอยู่ในระดับที่สูงกว่าในยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งหมายความว่าภูมิภาคนี้มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมในระดับสูงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์”

แบร์รีกล่าว

อย่างไรก็ตาม โทนี่ คาปรา รองศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและชีวสถิติแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโกซึ่งไม่เกี่ยวข้องในงานวิจัยเตือนว่า “ไม่ค่อยมีคำตอบง่ายๆ ว่าทำไมประชากรกลุ่มหนึ่งถึงมีความแปรปรวนทางพันธุกรรม ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่มี…ประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของสายพันธุ์ของเรามีความเกี่ยวข้องมากมายต่อสุขภาพและลักษณะนิสัยของเราในปัจจุบัน”  

“อย่างไรก็ตาม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผลกระทบทางพันธุกรรมทั้งหมดนี้ถูกปรับตามสภาพแวดล้อม…ผลกระทบทางพันธุกรรมเป็นผลมาจากตัวแปรทางพันธุกรรมหลายอย่าง ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถพูดได้ว่า MS มาจากประชากรยุคสำริด แต่การเคลื่อนไหวและสภาพแวดล้อมของประชากรเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดความแตกต่างในความเสี่ยงของ MS ในปัจจุบัน” คาปรากล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์