เอกสารลับเยอรมนีที่รั่วไหลระบุว่า ยุโรปกำลังเตรียมตัวรับมือกับ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่อาจ ‘ขยายสงคราม’ ในยูเครนและโจมตีประเทศนาโต (NATO) ในปีหน้า
รายงานดังกล่าวระบุว่า กองทัพเยอรมนีกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีแบบ ‘ไฮบริด’ ของรัสเซียในยุโรปตะวันออก ซึ่งรายละเอียดของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นมีหลากหลายแบบ และจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
-2024-
ในสถานการณ์หนึ่งที่เรียกว่า Alliance Defense 2025 จะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์นี้โดยรัสเซียระดมกำลังทหารเพิ่มเติม 200,000 นาย ด้วยการสนับสนุนทางการเงินของตะวันตกที่ให้กับยูเครนกำลังจะหมดลง รัสเซียจะเปิด ‘การโจมตีในฤดูใบไม้ผลิ’ ครั้งใหญ่ต่อกองทัพยูเครน
อีกหนึ่งสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของรัสเซียในการทำสงครามในทะเลบอลติก ภายในเดือนกรกฎาคมโดยใช้ ‘การโจมตีทางไซเบอร์ที่รุนแรง’ รวมถึงปลุกปั่นในหมู่ชาวรัสเซียในเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียด้วย
อีกสถานการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นภายในเดือนกันยายน จะมีการฝึกซ้อมทางทหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า ‘Zapad 2024’ ที่จะรวบรวมทหารรัสเซียราว 50,000 นาย ทางตะวันตกของรัสเซียและเบลารุส
หลังจากสถานการณ์ดังกล่าว รัสเซียจะสามารถเคลื่อนย้ายกองทหารและขีปนาวุธพิสัยกลางไปยังคาลินินกราด (Kaliningrad) หนึ่งในดินแดนของรัสเซียที่กั้นระหว่างลิทัวเนียและโปแลนด์ ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้เป็นสมาชิกนาโต รัสเซียสามารถโจมตีภูมิภาคนี้ด้วยการปล่อยโฆษณาชวนเชื่อเตือนถึงการโจมตีที่ใกล้เข้ามาของกองกำลังนาโต โดยมีเป้าหมายเพื่อพิชิตพื้นที่ที่เรียกว่า ‘Suwalki Gap’ ซึ่งเป็นทางเดินแคบๆ ของโปแลนด์-ลิทัวเนีย ที่ตั้งอยู่ระหว่างเบราลุสและคาลินินกราด
รายงานระบุอีกว่า ภายในเดือนธันวาคม ตามแผนปฏิบัติการซึ่งอาจเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด รัสเซียสามารถใช้ประโยชน์ในช่วงการเปลี่ยนแปลงหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้โฆษณาชวนเชื่อประกาศ ‘ความขัดแย้งชายแดน’ หรือ ‘การจลาจลที่จะทำให้มีคนตายจำนวนมาก’ เพื่อปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ Suwalki Gap เพื่อให้เกิดความไม่สงบ
-2025-
หลังจากการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในเดือนมกราคม ปี 2025 รัสเซียจะ กล่าวหาข้อความเท็จใส่ ‘พันธมิตรตะวันตก’ ว่าวางแผนที่จะต่อต้านระบอบการปกครองของปูติน ซึ่งปูตินจะใช้สิ่งนี้ในการระดมกำลังทหารไปยังเบลารุสและทะเลบอลติกภายในเดือนมีนาคม ปี 2025 ซึ่งในสถานการณ์นี้ ทหารเยอรมัน 30,000 นายจะถูกส่งไปประจำการป้องกัน ขณะที่กองกำลังรัสเซียประมาณ 70,000 นายจะเข้าประจำการในเบลารุส
ภายในเดือนพฤษภาคม 2025 สถานการณ์ดังกล่าวอาจกระตุ้นให้นาโตออก ‘มาตรการป้องปราม’ เพื่อป้องกันการรุกรานของรัสเซียเพิ่มเติม ซึ่งแปลว่าเป็นการสู้รบระหว่างกองทหารตะวันตกและกองกำลังรัสเซีย
ปูตินและรัสเซียปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกเขาจะยกระดับความขัดแย้งออกไปนอกเหนือจากในยูเครน แม้ว่ารายงานลับที่หลุดออกมานี้เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่กองทัพเยอรมันวางแผนไว้ ทว่าพันธมิตรในยุโรปเองก็ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามของรัสเซียอย่างจริงจังและกำลังเตรียมการตามนั้น
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาร์ล-ออสการ์ โบห์ลิน รัฐมนตรีกลาโหมสวีเดนที่ได้รับเชิญจากนาโตกล่าวในการประชุมประชาชนและกลาโหมว่า สงครามในสวีเดนเป็นไปได้ หลังจากนั้น มิคาเอล บายเดน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสวีเดนก็ออกมาประกาศให้ชาวสวีเดนเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในทุกระดับ ทั่วทั้งสังคม
อ่านข่าวนี้
ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเยอรมนีไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์ใดๆ ในเอกสารอย่างเฉพาะเจาะจง แต่บอกกับสำนักข่าว Blid ว่า “ผมบอกคุณได้เลยว่าการพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ แม้ว่าจะไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันทางการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการฝึกซ้อม”
แต่ เบน ฮอดจ์ ผู้ที่สั่งการกองทัพสหรัฐฯ ในยุโรประหว่างปี 2014 - 2018 เน้นย้ำว่า โอกาสที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรัสเซียรู้สึกว่านาโต ไม่ได้เตรียมพร้อมหรือรวมเป็นหนึ่งเดียว
ฮอดจ์กล่าวว่า พวกเขา(รัสเซีย) เกรงกลัวแต่ความแข็งแกร่งเท่านั้น หากพวกเขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอใดๆ ก็ตามพวกเขาจะดำเนินการต่อไป ซึ่งหากทำเช่นนั้น อาจเป็นเพราะพวกเขาประเมินแล้วว่าเราไม่พร้อมหรือไม่เป็นเอกภาพภายในกลุ่มพันธมิตร หรือไม่เราก็ไม่มีกระสุนเพียงพอ หรือเคลื่อนที่ได้เร็วมากพอ แต่ถ้าเรามีการเตรียมพร้อมละก็ หนทาง(เกิดสงคราม)ก็ยังอีกยาวไกล
“แม้มันจะดูน่ากลัว แต่แผนที่เยอรมนีวางไว้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขา(เยอรมัน)กำลังจัดการกับภัยคุกคามอย่างจริงจัง วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้น คือการแสดง ‘ความพร้อม’ กับมัน” ฮอดจ์กล่าวพร้อมเสริมว่า สหราชอาณาจักรตระหนักดีถึงภัยคุกคามจากรัสเซียมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เยอรมนีกำลังตระหนักว่าสิ่งนี้จะเลวร้ายลง หากพวกเขาไม่เตรียมพร้อม
ฮอดจ์กล่าวเสริมว่า หากผู้นำไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นภัยคุกคาม พวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ผู้นำควรพูดคุยกันอย่าง ‘ผู้ใหญ่’ ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าเรากำลังสร้างความหวาดกลัว แต่หมายความว่าเรากำลังระมัดระวัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
