ถ้าหยุดโลกร้อนไม่ได้ ธารน้ำแข็งครึ่งหนึ่งของโลกจะหายไปภายในปี 2100

6 ม.ค. 2566 - 08:20

  • ผลการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมมากที่สุดถึงอนาคตของธารน้ำแข็ง 215,000 แห่งทั่วโลก

  • ผู้ศึกษาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อจำกัดผลที่ตามมาจากการละลายของธารน้ำแข็ง

Half_of_worlds_glaciers_expected_to_vanish_by_2100_SPACEBAR_Hero_39a1c82b55.jpeg

AFP รายงานว่า การศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า ธารน้ำแข็งครึ่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธารน้ำแข็งเล็กๆ จะหายไปภายในสิ้นศตวรรษนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 

ผลการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมมากที่สุดถึงอนาคตของธารน้ำแข็ง 215,000 แห่งทั่วโลก โดยผู้เขียนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อจำกัดผลที่ตามมาจากการละลายของธารน้ำแข็ง เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการลดลงของทรัพยากรน้ำ

เพื่อช่วยกำหนดทิศทางผู้กำหนดนโยบาย การศึกษาได้พิจารณาผลกระทบของ 4 สถานการณ์ต่อธารน้ำแข็ง ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์), 2.0 องศาเซลเซียส, 3.0 องศาเซลเซียส และ 4.0 องศาเซลเซียส 

รีจีน ฮอค จาก University of Oslo และ University of Alaska Fairbanks ผู้ร่วมวิจัยกล่าวกับ AFP ว่า การเพิ่มระดับทุกองศาทำให้เกิดการละลายและสูญเสียมากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าถ้าคุณลดอุณหภูมิที่กำลังเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถลดการสูญเสียมวลนั้นได้เช่นกัน ในแง่นั้น ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย

แม้ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่สุดของข้อตกลงปารีส นักวิจัยคาดการณ์ว่า 49% ของธารน้ำแข็งในโลกจะหายไปภายในปี 2100

นั่นจะคิดเป็นประมาณ 26% ของมวลธารน้ำแข็งในโลก เพราะธารน้ำแข็งที่เล็กที่สุดจะได้รับผลกระทบก่อน ขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลให้ธารน้ำแข็งในยุโรปกลาง แคนาดาตะวันตก ทวีปอเมริกา และนิวซีแลนด์ลดลงเกือบหมด 

“ภูมิภาคที่มีน้ำแข็งค่อนข้างน้อย เช่น เทือกเขาแอลป์ในยุโรป เทือกเขาคอเคซัส เทือกเขาแอนดีส หรือทางตะวันตกของสหรัฐฯ น้ำแข็งเกือบทั้งหมดจะสูญเสียไปภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยไม่คำนึงว่าสถานการณ์การปล่อยก๊าซจะเป็นอย่างไร ดังนั้น ธารน้ำแข็งเหล่านั้น พวกมันจะต้องถึงวาระไม่มากก็น้อย” ฮอคกล่าว

‘ขึ้นอยู่กับผู้กำหนดนโยบาย’

ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 4.0 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์ เช่น ในอลาสกาจะได้รับผลกระทบมากขึ้น และธารน้ำแข็งกว่า 83% จะหายไปภายในสิ้นศตวรรษนี้ 

การสูญเสียธารน้ำแข็งจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 

ฮอค กล่าวว่า ธารน้ำแข็งที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้เป็นเพียง 1% ของน้ำแข็งทั้งหมดบนโลก น้อยกว่าแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกมาก แต่พวกมันมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเกือบเท่าแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกรวมกันในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา 

ฮอค กล่าวต่อว่า อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสจะทำให้ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9 เซนติเมตร ขณะที่อุณหภูมิที่สูงขึ้น 4.0 องศาเซลเซียสจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 15 เซนติเมตร มันฟังดูไม่มากนัก 9 เซนติเมตรถึง 15 เซนติเมตร แต่ไม่ใช่ระดับน้ำทะเลทั่วโลกที่เป็นกังวลมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่เกิดจากคลื่นพายุซัดฝั่งที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้ 

ทั้งนี้ การหายไปของธารน้ำแข็งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำเช่นกัน เพราะธารน้ำแข็งเหล่านี้ให้น้ำจืดแก่ประชากรราวสองพันล้านคน 

การคาดการณ์ของการศึกษาซึ่งเป็นไปในแง่ร้ายมากกว่าของผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศของสหประชาชาติ ที่ประเมินผ่านการสังเกตมวลของธารน้ำแข็งแต่ละแห่งตลอดหลายทศวรรษและการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ 

ฮอค กล่าวว่า หากจะลดการสูญเสียเหล่านี้ ด้วยการกระทำของมนุษย์มันก็เป็นไปได้ แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับผู้กำหนดนโยบาย 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์