ผู้เชี่ยวชาญเฉลยคดีปริศนา ‘คนตายเพราะมนุษย์ต่างดาว-UFO’ จริงหรือ?

2 มิ.ย. 2567 - 00:00

  • คดีปริศนาที่ยกมานี้ส่วนใหญ่ในรายงานมักระบุว่าก่อนที่เหยื่อจะตาย พวกเขาจะเห็นวัตถุคล้าย ‘จานบิน’ สีเงิน อยู่ตรงหน้า จากนั้นพวกเขาจะเสียชีวิตไปแบบกะทันหัน

  • บางเคสไม่มีแม้แต่หลักฐาน รูปถ่าย จนนำไปสู่เงื่อนงำที่ว่าสรุปแล้วเป็นฝีมือ ‘คน’ หรือ ‘UFO’ กันแน่?

have-people-really-been-killed-by-aliens-expert-weighs-in-fatalities-linked-ufo-SPACEBAR-Hero.jpg

ยังคงเป็นปริศนาที่รอวันไขจนถึงทุกวันนี้สำหรับวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้ (unidentified flying objects) หรือที่เรารู้จักกันอีกชื่อว่า ‘ยูเอฟโอ’ (UFO) อีกทั้งปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่ปรากฏหลักฐาน (Unidentified Anomalous Phenomena / UAP) และมนุษย์ต่างดาวที่มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานาถึงร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนั้นดวงนี้ที่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของมันท่ามกลางข้อสงสัยว่าสรุปแล้ว ‘มันมีจริงหรือเปล่า?’ 

แม้แต่ NASA เองก็เคยตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่า ‘ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ใดที่ยืนยันได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากต่างดาว แต่ทีมก็ตั้งเป้าว่าเป็นสิ่งที่ควรจะศึกษาต่อไปในอนาคต’ 

ทว่ารายงานการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจำนวนมากในสหรัฐฯ กลับเชื่อมโยงกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งก่อให้เกิดทฤษฎีที่ว่าบุคคลเหล่านี้อาจถูกสังหารโดยจานบินมนุษย์ต่างดาว หรือ ‘The third kind’ รวมไปถึงเคสของนักบินกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตไม่นานหลังจากอ้างว่าเห็นวัตถุบินได้ และเคสของชายชาวบราซิลที่อ้างว่าถูกวัตถุนอกโลกฟาดเข้าที่ศีรษะ 

ไนเจล วัตสัน นักวิจัยยูเอฟโอจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ฮัลแลม ในสหราชอาณาจักร ใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้ารายงานยูเอฟโอทั่วโลก และตีพิมพ์หนังสือและรายงานหลายเล่มเกี่ยวกับการค้นพบของเขา จนกระทั่งเขาเขียนหนังสือใหม่เรื่อง ‘Death By UFO’ ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับเคสและการสืบสวนการเสียชีวิตลึกลับเหล่านี้ วัตสัน 

ปริศนา (?) การเผชิญหน้าบนท้องฟ้า

หนึ่งในเคสที่เขียนในหนังสือเล่มนี้คือ การเสียชีวิตของ ‘โธมัส แมนเทล’ กัปตันกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งเคสนี้ถูกขอให้ตรวจสอบวัตถุบินทรงกรวยสีเงินในปี 1948 จากรายงานอ้างว่า แมนเทล วีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ 2 วัย 25 ปี และนักบินอีก 3 คนกำลังฝึกซ้อมบินหลังมีคำขอเข้ามาให้ตรวจสอบวัตถุสีเงินบินสูงปลายสีแดง โดยที่เครื่องบินทั้ง 3 ลำทะยานขึ้นไปในอากาศ 22,000 ฟุตเพื่อสกัดกั้นวัตถุดังกล่าว 

เมื่อเวลา 14.45 น. แมนเทลได้ส่งวิทยุไปยังหอคอยและบอกว่าเขาพบเห็นวัตถุดังกล่าว “มันอยู่ตรงหน้าผมตรงๆ เลยและบินอยู่เหนือผมในตอนนี้ โดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณครึ่งหนึ่งของผม” 30 นาทีต่อมาเขาให้ข้อมูลอัปเดตอีกครั้ง “ดูเหมือนว่ามันจะเป็นวัตถุที่เป็นโลหะหรืออาจมีการสะท้อนของดวงอาทิตย์จากวัตถุที่เป็นโลหะ และมันมีขนาดใหญ่มาก” แมนเทลรายงานขณะขึ้นบินบนท้องฟ้าเหนือกองทัพฟอร์ตน็อกซ์ ในรัฐเคนตักกี้ 

หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินอีก 2 ลำต้องยกเลิกภารกิจนี้เนื่องจากขาดออกซิเจน อย่างไรก็ตาม แมนเทลยังคงบินทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยสูงถึงประมาณ 25,000 ฟุต แต่เมื่อเวลา 17.00 น. เศษซากจากเครื่องบินของเขาก็ถูกค้นพบในเขตเชลบี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลุยส์วิลล์ 

ในตอนแรกกองทัพอากาศสหรัฐฯ อ้างว่าแมนเทลกำลังไล่ตามดาวศุกร์ แต่ต่อมากองทัพกล่าวว่าวัตถุดังกล่าวเป็นบอลลูนลอยฟ้า ‘สกายฮุค’ (Skyhook) ที่สนับสนุนโดย CIA ซึ่งเปิดตัวทางตอนใต้ของรัฐโอไฮโอ ขณะเดียวกัน ผู้ศรัทธายูเอฟโอยังคงยืนยันว่าแมนเทลเสียชีวิตด้วยน้ำมือของยูเอฟโอ ทั้งนี้ คำอธิบายสกายฮุคก็ไม่ได้รับการเปิดเผยจนกระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 1960 

ถูกฟาดด้วย ‘ลำแสงมรณะ’

have-people-really-been-killed-by-aliens-expert-weighs-in-fatalities-linked-ufo-SPACEBAR-Photo01.jpg

อินาซิโอ เด โซซา ชายชาวบราซิล และภรรยาของเขากำลังเดินทางกลับบ้านในเดือนสิงหาคม 1967 จากนั้นพวกเขาก็เห็นวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายอ่างล้างหน้าคว่ำ แล้วก็มีชาย 3 คนสวมเสื้อผ้ารัดรูป เด โซซายิงชายคนหนึ่งด้วยปืนไรเฟิลของเขา ซึ่งดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะไม่เป็นอะไร แต่กลับมีลำแสงสีเขียวจากยูเอฟโอยิงไปที่หัวของ เด โซซา ทำให้เขาหมดสติ มีอาการชาและรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่ศีรษะและมือ 

แพทย์คนหนึ่งบอกว่า เด โซซามีอาการประสาทหลอน และไม่กี่วันต่อมาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว จากนั้นเขาก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1967 

วัตสันเขียนว่า “ในขณะที่ผู้ศรัทธายูเอฟโอบางคนคิดว่าการเผชิญหน้าและความเจ็บป่วยของ เด โซซาเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่น่าเศร้า แต่คนอื่นๆ กลับเลือกที่จะเชื่อว่าลำแสงสีเขียวจากยูเอฟโอนั้นเป็นลำแสงรังสีอันตรายร้ายแรง” 

‘เม็ดฝนโลหะ’ จากยูเอฟโอ?

have-people-really-been-killed-by-aliens-expert-weighs-in-fatalities-linked-ufo-SPACEBAR-Photo02.jpg

ในปี 1947 แฮโรลด์ เอ็ดเวิร์ด ดาห์ล พร้อมด้วย ชาร์ลส์ ลูกชายของเขา และลูกเรือ 2 คนอยู่ในเรือลากนอกเกาะ โมรี ในเขตภูเกตซาวด์ระหว่างเมืองซีแอตเทิลและเมืองทาโคมา ชายทั้งสองเล่าว่า พวกเขาเห็นวัตถุรูปทางโดนัทสีทองและสีเงินจำนวน 6 ลำบินอยู่เหนือพวกเขา โดยมีอยู่ลำหนึ่งที่ ‘โคลงเคลง’ ก่อนที่จะปล่อยเม็ดฝนเป็นแถบโลหะบางๆ และเป็นก้อนๆ สีดำ มันฟาดโดนแขนเด็กชายจนไหม้ แล้วสุนัขของพวกเขาก็ตายด้วย 

เฟรด ลี คริสแมน เจ้านายของดาห์ลได้มาสถานที่เกิดเหตุและอ้างสิทธิ์ในซากปรักหักพังบางส่วน จากนั้นดาห์ลก็เจอกับชายชุดสูทสีเข้มคนหนึ่งขับรถซีดานสีดำซึ่งขับรถไปร้านอาหารแห่งหนึ่งในทาโคมาและเตือนเขาให้เงียบไว้ 

ขณะเดียวกัน เคนเนธ อาร์โนลด์ ซึ่งเคยเห็น ‘จานบิน’ (flying saucers) เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยข่าวกรองกองทัพอากาศ 

ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1947 กัปตันวิลเลียม เดวิดสัน และร้อยโทแฟรงก์ เอ็ม บราวน์ ก็ถูกส่งไปยังทาโคมา แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเม็ดฝนที่มีตะกั่วหลอมเหลว และเชื่อว่าชิ้นส่วนตัวอย่างนั้นเป็นตะกรัน (slag) จากโรงงานถลุง แต่ต่อมาเดวิดสันและบราวน์กลับเสียชีวิตเมื่อเครื่องบิน B-25 ของพวกเขาตกระหว่างบินกลับฐาน ทว่าทั้งตัวอย่างและรูปถ่ายจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ก็หายไปด้วย 

หรือมันเป็น ‘การจัดฉาก’ กับ ‘ความลับ’ … 

วัตสันเขียนว่า “สำหรับหลายๆ คน ทั้งหมดนี้เหมือนเป็น ‘การปกปิดข่าวกรองทางการทหาร’ ในเดือนตุลาคม 1968 จิม แกร์ริสัน อัยการเขต ได้นำตัว เคลย์ ชอว์ เข้ารับการพิจารณาคดีในข้อหาต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการลอบสังหาร จอห์น เอฟ เคนเนดี้ (JFK) ขณะที่ เฟรด ลี คริสแมน ก็โดนหมายเรียกให้ขึ้นศาลด้วย” 

“กองทหารเชื่อว่าชอว์และคริสแมนเป็นพนักงานของสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) มายาวนานซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่น่าสงสัยหลายอย่าง รวมถึงการสังหารเจเอฟเค (JFK) ด้วย ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกลับไปยังฐานทัพที่แฮมิลตันฟิลด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เครื่องบิน B-25 ของพวกเขาลุกไหม้ และพวกเขาก็เสียชีวิตหลังจากเครื่องบินตกใกล้กับเมืองเคลโซ รัฐวอชิงตัน แต่ผู้โทรแจ้งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นซึ่งไม่ระบุชื่ออ้างว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตกด้วยปืนใหญ่ขนาด 20 มม. เนื่องจากมีชิ้นส่วนของจานบินอยู่ด้วย” วัตสันเขียน 

วัตสันเขียนอีกว่า “หลังจาก เคนเนธ อาร์โนลด์ ออกเดินทางจากทาโคมา เครื่องยนต์ของเขาก็ขัดข้องจนต้องลงจอดฉุกเฉิน เมื่อตรวจสอบเครื่องบินกลับพบว่าวาล์วเชื้อเพลิงปิดอยู่ ขณะเดียวกัน พอล ลานซ์ นักข่าวจากสำนักข่าว Tacoma Times ที่รายงานเรื่องนี้กลับเสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบใน 2 สัปดาห์ต่อมา”

“เรื่องราวเหล่านี้หลายเรื่องฟังดูแปลกประหลาด และการเสียชีวิตจำนวนมากก็มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือ…หน่วยงานของรัฐหรือ ‘Men in Black’ (MIB) ที่โด่งดังอาจกำลังทำงาน แต่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงมากสำหรับการสังหารผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หลังมีวิธีที่ง่ายกว่าในการทำให้นักวิจัยยูเอฟโอเสื่อมเสีย…”

วัตสันเขียน

เคสร่างมนุษย์ชุดขาวในพุ่มไม้

have-people-really-been-killed-by-aliens-expert-weighs-in-fatalities-linked-ufo-SPACEBAR-Photo03.jpg

เจนนิเฟอร์ สตีเวนส์ นักวิจัยยูเอฟโอแห่งนิวยอร์ก ได้รับการติดต่อจากเด็กชาย 2 คนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1968 โดยพวกเขาอ้างว่าเห็น ‘ลูกไฟเรืองแสง’ เหนือแม่น้ำโมฮอว์ก 

เพื่อนของเด็กชายเชื่อว่าตัวเขาเองเห็น ‘ร่างคล้ายมนุษย์ในชุดขาวอยู่ในพุ่มไม้’ ทว่าหลังจากนั้นกลับพบศพของเด็กชายอายุ 16 ปีอีกคนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ พร้อมข้อความที่ฝากไว้กับปู่ย่าว่า ‘เขากำลังไปเดินเล่น’ 

วัตสันเขียนว่า “คำตัดสินของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพคือ ‘การเสียชีวิตจากการสัมผัสเชื้อ’ แต่สตีเวนส์เชื่อว่าการตายของเขาเกี่ยวข้องกับยูเอฟโอ” เธอสังเกตเห็นว่ารอยเท้าของเด็กชายในหิมะบ่งบอกว่าเขาวิ่งในตอนแรก จากนั้นก็ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างลากเขาลงมาจากเบื้องบน ต่อมา สามีของสตีเวนส์ถูกชายคนหนึ่งขู่ว่า ‘ใครที่หายูเอฟโออยู่ระวังตัวไว้เถอะ’ 

ภายหลังสามีของสตีเวนส์เสียชีวิตกะทันหัน เธอจึงล้มเลิกการสืบสวนยูเอฟโอ 

แล้วคุณเชื่อเรื่องเหล่านี้ไหม? มันเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นการจัดฉาก หรือสิ่งที่อธิบายไม่ได้อย่าง ‘UFO’ เคยปรากฏขึ้นจริงๆ? หรือมันก็แค่เรื่องไร้สาระ?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์